อย.-ป.ป.ส. ชี้ยังไม่เผาทำลายกัญชาของกลาง 22 ตัน ยันให้หน่วยงานแจ้งขอใช้ประโยชน์ได้

อย.-ป.ป.ส. ชี้ยังไม่เผาทำลายกัญชาของกลาง 22 ตัน ยันให้หน่วยงานแจ้งขอใช้ประโยชน์ได้

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 25 มิถุนายน ที่บริเวณคลังยาเสพติดให้โทษของกลาง (ใหม่) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเผาทำลายกัญชาของกลาง 22 ตันว่า สำหรับการเผาทำลายยาเสพติดของกลางครั้งนี้ไม่มีกัญชาของกลารวมอยู่ด้วย โดยทางอย.ขอชี้แจงตามที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่ามีการเผาทำลายกัญชาของกลางทั้งหมด 22 ตัน ซึ่งกัญชาจำนวนดังกล่าวเป็นกัญชาที่เกิดขึ้นจากการจับกุม ต่อมาจะนำมาเก็บรักษาไว้ยังสถานีตำรวจ (สน.) และส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) เก็บรักษาเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี สำหรับกัญชาจำนวน 22 ตัน ทางสำนักงาน ป.ป.ส.ได้ขออนุญาต อย.นำไปใช้ประโยชน์ พร้อมกับตรวจวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนชนิดโลหะหนักและยาฆ่าแมลงในของกลาง ขณะนี้สำนักงาน ป.ป.ส.ได้มีการตรวจพิสูจน์เบื้องต้นไปแล้ว ดังนั้น ในการพิจารณาขออนุญาตให้กับหน่วยงานนำไปใช้ประโยชน์จะต้องขออนุญาตจากสำนักงาน ป.ป.ส.

นพ.ธเรศ กล่าวว่า ปัจจุบันมี 3 หน่วยงานขอนำของกลางไปใช้ประโยชน์ โดย 1.กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก นำของกลางบริสุทธิ์ที่ทำการตรวจพิสูจน์ไม่มีการปนเปื้อนของยาฆ่าแมลงและโลหะหนัก จำนวน 7 กิโลกรัม (กก.) นำไปปรุงยาตำรับแพทย์แผนไทย 2.ของกลางตรวจสอบพบไม่มีการปนเปื้อนยาฆ่าแมลง แต่มีการปนเปื้อนโลหะหนัก ปัจจุบันคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ขออนุญาตนำของกลางไปศึกษาวิจัยเพื่อแยกสารโลหะหนัก เช่นเดียวกับโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี และหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ รวมประมาณ 2 ตัน และ 3.ของกลางที่มีการปนเปื้อนของยาฆ่าแมลงและโลหะหนัก ราว 20 ตัน ปัจจุบันสำนักงาน ป.ป.ส.ยังคงเก็บรักษาไว้ โดยทางสำนักงาน ป.ป.ส.เองได้มีนโยบายต้องดูแลความปลอดภัยกับหน่วยงานที่นำไปใช้มีความมั่นใจว่าปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีการนำไปเผาทำลายตามที่เป็นข่าว อีกทั้ง บางส่วนได้มีหน่วยงานขอนำไปใช้ประโยชน์แล้ว

ด้านนายวิชัย ไชยมงคล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) กล่าวว่า กัญชากำหนดให้เป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยาเสพติดให้โทษ ซึ่งที่ผ่านมาจะเร่งเผาทำลายของกลางกัญชาก่อน เนื่องจากสามารถจับกุมได้ปริมาณมากในแต่ละครั้ง รวมทั้งเป็นพืชเสพติดที่ไม่สามารถเก็บรักษาไว้นานได้ เพราะขึ้นเชื้อราได้ง่าย จึงมีระเบียบกำหนดให้หน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคให้จัดเก็บรักษาในพื้นที่ที่สามารถจับกุมได้ พร้อมมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรรมการประจำจังหวัดพิจารณาและเผาทำลายในพื้นที่นั้น ๆ ต่อมาเมื่อมีพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ให้นำกัญชามาใช้ในการแพทย์ ทางสำนักงาน ป.ป.ส.จึงออกระเบียบใหม่ไม่ให้หน่วยงานที่จับกุมได้เผาทำลายกัญชาของกลาง โดยจะประสานกับหน่วยงานดังกล่าวแจ้งปริมาณ และส่งของกลางมายังสำนักงาน ป.ป.ส. จากนั้นจะทำหนังสือขออนุญาต อย.ในการเก็บรักษาของกลางทั้งหมดไว้ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานเอกชนร่วมกับรัฐตามกฎหมายมาขออนุญาตใช้ประโยชน์

Advertisement

“ส่วนการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ได้ในปริมาณเท่าใด ทางอย.จะเป็นผู้พิจารณาออกหนังสือครอบครองยาเสพติด โดยหลักจะพิจารณาจากเหตุผลความจำเป็น ยืนยันว่าของกลางกัญชาทั้งหมด ปัจจุบันยังไม่มีการเผาทำลาย หากหน่วยงานใดมีความประสงค์นำกัญชาไปใช้ประโยชน์ให้ยื่นความจำนงเพื่อทำการขออนุญาตต่อสำนักงาน ป.ป.ส.” นายวิชัย กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image