สทนช.เตรียมถกสถานการณ์น้ำ เสี่ยงขาดน้ำ-แล้งขยายวงกว้าง

นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สทนช.ยังคงติดตามปริมาณฝนสะสมทุก 15 วัน ที่มีปริมาณฝนตกน้อย เพื่อวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำและเฝ้าระวังสถานการณ์แล้ง เพื่อชี้เป้าหมายพื้นที่เสี่ยงให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการเฝ้าระวังและเตรียมการรับมือ ล่าสุดพบว่ามีพื้นที่ฝนตกในปริมาณน้อย จำนวน 240 อำเภอ 36 จังหวัด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 105 อำเภอ 12 จังหวัด ภาคเหนือ 61 อำเภอ 11 จังหวัด ภาคใต้ 70 อำเภอ 9 จังหวัด ภาคตะวันออก 2 อำเภอ 2 จังหวัด ภาคกลาง 1 อำเภอ 1 จังหวัด และภาคตะวันตก 1 อำเภอ 1 จังหวัด ตามลำดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ส่งผลทำให้ความเสี่ยงขาดแคลนน้ำในพื้นที่นอกเขตชลประทานอาจจะขยายวงกว้างได้

นายสมเกียรติกล่าวว่า ที่ผ่านมา สทนช.ได้เตรียมความพร้อมแผนรับมือป้องกันการขาดแคลนน้ำ โดยมีหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับสถานการณ์ในแหล่งน้ำทั่วประเทศ รวมถึงพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำที่วิเคราะห์จากปริมาณฝนตกน้อยสะสมต่อเนื่องให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้ 5 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงพลังงาน พิจารณาแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฤดูแล้ง ปี 2561/62 และแผนการจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและปรากฏการณ์เอลนิโญกำลังอ่อน

นายสมเกียรติกล่าวว่า ได้วิเคราะห์ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำนอกพื้นที่ชลประทาน พื้นที่เสี่ยงการเกษตรที่เพาะปลูกเกินแผน และบัญชีแหล่งน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่า 30% เพื่อใช้วางแผนรับมือเชิงป้องกันกำหนดมาตรการประหยัดน้ำ และเพิ่มปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อเร่งเก็บกักน้ำไว้สำหรับการใช้น้ำในฤดูแล้งถัดไป รวมถึงดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเร่งด่วน อาทิ การปฏิบัติฝนหลวง การหาแหล่งน้ำสำรองจากการปรับปรุงสร้างทำนบหรือฝายชั่วคราวยกระดับน้ำในลำน้ำ เพื่อให้สามารถสูบน้ำได้ หรือนำน้ำมาจากแหล่งน้ำอื่น รวมถึงเจาะบ่อบาดาลเพื่อป้องกันผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภค-บริโภคของประชาชน

นายสมเกียรติกล่าวว่า ภายในวันที่ 18 กรกฎาคมนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะแจ้งข้อมูลผลการวิเคราะห์น้ำที่ไหลเข้าอ่างโดยใช้คาดการณ์ฝนใหม่ สภาพฝนที่ผ่านมาและคาดการณ์ในช่วงฤดูฝนที่เหลือ ช่วงวันที่ 15 ก.ค.- 30 ต.ค.2562 การตรวจสอบพื้นที่เพาะปลูกฤดูฝน การทบทวนการคาดการณ์ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าแหล่งน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน ในช่วงครึ่งหลังของฤดูฝน เนื่องจากพบว่าฝนที่ตกในครึ่งแรกของฤดูฝนมีปริมาณน้อยกว่าที่คาดการณ์และน้อยกว่าค่าปกติ พร้อมปรับแผนการระบายน้ำให้สอดคล้องกับพื้นที่เพาะปลูกและน้ำต้นทุน รวมทั้งให้ทบทวนการคาดการณ์ปริมาณน้ำต้นทุนแหล่งน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง เมื่อสิ้นสุดฤดูฝนอีกครั้งเพื่อประเมินปริมาณน้ำให้สามารถวางแผนจัดสรรน้ำให้กับภาคส่วนต่างๆ ในฤดูแล้ง ปี’62-63 ด้วย ซึ่ง สทนช.จะสรุปเสนอในการประชุมคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่จะจัดขึ้นในช่วงก่อนปลายเดือน ก.ค.นี้

Advertisement

นายสมเกียรติกล่าวว่า สถานการณ์น้ำในแหล่งน้ำต้นทุนรวมของทั้งประเทศอยู่ที่ 39,431 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 49% โดยแหล่งที่ต้องเฝ้าระวังเนื่องจากมีปริมาตรน้ำน้อยกว่า 30% แบ่งเป็น แหล่งน้ำขนาดใหญ่ 15 แห่ง ได้แก่ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนห้วยหลวง เขื่อนน้ำพุง เขื่อนลำปาว เขื่อนลำพระเพลิง เขื่อนลำนางรอง เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนกระเสียว เขื่อนทับเสลา เขื่อนขุนด่านปราการชล เขื่อนแม่กวงอุดมธารา เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนนฤบดินทรจินดา เขื่อนคลองสียัด และบึงบอระเพ็ด รวมถึงแหล่งน้ำขนาดกลาง 136 แห่ง แยกเป็น ภาคเหนือ 15 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 96 แห่ง ภาคตะวันออก 9 แห่ง ภาคกลาง 11 แห่ง ภาคตะวันตก 2 แห่ง และภาคใต้ 3 แห่ง โดยปัจจุบันคงเหลือพื้นที่ประกาศภัยแล้ง 2 จังหวัดคือ ตาก มหาสารคาม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image