นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ในเรื่องของการปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% ตามนโยบายหาเสียงของพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ขณะนี้นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ศึกษาถึงโครงสร้างภาษีทั้งระบบ ซึ่งคงต้องรอให้สศค.ศึกษาให้แล้วเสร็จก่อน สรรพากรจึงจะมาดูอีกครั้ง โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากรมจัดเก็บได้ปีละ 4 แสนล้านบาท ในปีงบ 2563 กรมรับเป้าหมายจัดเก็บภาษี 2.16 ล้านล้านบาท ดังนั้นในเรื่องภาษีคงต้งดูให้รอบคอบ
“การลดภาษีไม่ว่าจะใช้แนวทางไหนจะกระทบถึงรายได้หายไป ดังนั้นต้องมีแนวทางเพิ่มรายได้ เพราะรายได้ของกรมสรรพากรมีสัดส่วนถึง 70-80% ของรายได้รัฐ ดังนั้นหากกรมสรรพากรได้รับผลกระทบรายได้ลด ทำให้รายได้ประเทศหายไป ซึ่งอาจจะกระทบต่อฐานะทางการคลังได้”นายเอกนิติกล่าว
นายเอกนิติกล่าวต่อว่า ส่วนของการยกเว้นภาษีให้กลุ่มพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ 2 ปีตามนโยบายของพรรคพลังประชารัฐนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับนโยบายให้ดำเนินการอย่างไร แต่ให้ทีมศึกษาดู ซึ่งพบว่าหากยกเว้นให้กลุ่มดังกล่าวจะสร้างความไม่เป็นธรรมผู้ค้าที่ไม่อยู่ในระบบออนไลน์ อาจทำให้เกิดการหลบเลี่ยงภาษีให้เข้ามาอยู่ในระบบออนไลน์มากขึ้น
นายเอกนิติกล่าวว่า นโยบายเร่งด่วนของกรมเสนอไปยังรัฐบาลใหม่ หนึ่งในนั้นผลักดันเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) จากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือภาษีอีบิซิเนส โดยก่อนหน้านี้กฎหมายอยู่ในระหว่างการพิจารณาของกฤษฎีกา หากรัฐบาลใหม่ไม่ยืนยันร่างดังกล่าว กฎหมายต้องตกไป แต่ถ้ายืนยันกฎหมายกฤษฎีกาสามารถพิจารณาต่อได้ โดยส่วนของกรมคิดว่ากฎหมายดังกล่าวพิจารณามาอย่างดีแล้ว ดังนั้นคงไม่จำเป็นต้องทบทวนอะไร แต่สุดท้ายคงอยู่ที่การพิจารณาของรัฐบาลชุดใหม่ ส่วนการเก็บภาษีเงินได้จากผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์นั้น ขณะนี้ยังเป็นโจทย์ใหญ่ของโลกว่าจะเก็บอย่างไร ในจากต่างประเทศ เช่นในประเทศฝรั่งเศสเก็บ 2-3% ของรายได้ ไทยเองอยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะดำเนินการอย่างไร
นายเอกนิติ กล่าวถึงแนวคิดในการเก็บภาษีที่ได้จากกำไรในการซื้อขายหุ้น(capital gain tax) ว่า อยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นและศึกษาแนวทางจากอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายแห่งที่ได้เสนอความคิดเข้ามา ซึ่งข้อเสนอให้เก็บต้องการลดความเหลื่อมล้ำ แต่คงต้องใช้เวลาศึกษาให้รอบคอบก่อน คงยังไม่สามารถสรุปได้ในเร็วๆ นี้
