เอสซีจีปรับแผนธุรกิจเน้นลงทุนสั้น-กำไรเร็ว-เพิ่มตลาดใหม่ เผยครึ่งปีแรกรายได้-กำไรวูบเหตุศก.ชะลอตัว-บาทแข็ง

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ธุรกิจและแผนการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 2562 เพราะผลกระทบจากสงครามการค้าทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวและยังไม่ชัดเจนว่าทวีความรุนแรงอีกมากน้อยเพียงใด บริษัทยังเผชิญปัญหาต้นทุนราคาน้ำมันที่ผันผวน ราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับลดลง และค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องที่กระทบกับยอดขายเมื่อแปลงเป็นเงินบาท รวมทั้งบริษัทมีการลงทุนในประเทศภูมิภาคที่ค่าเงินอ่อนกว่าไทยด้วย ดังนั้น การลงทุนเน้นการลงทุนระยะสั้นที่สร้างรายได้ ผลกำไร ที่ดีและรวดเร็ว เน้นลงทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรม สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม(เอชวีเอ) และการทำธุรกิจแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน พลลังงานทดแทน โดยจากเดิมที่ตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 8.5 หมื่นล้านบาท ได้ปรับงบลงทุนปีนี้อยู่ที่ 7.5 หมื่นล้านบาท ช่วงครึ่งปีแรกลงทุนไปแล้ว 3.9 หมื่นล้านบาท อาทิ การซื้อหุ้นบริษัทฟาจาผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ในอินโดนีเซีย และครึ่งปีหลังยังลงทุนต่อเนื่องในโครงการปิโตรเคมีที่เวียดนาม ขยายกำลังการผลิตในโรงงานที่ฟิลิปปินส์ เป็นต้น และบริษัทยังคงมองหาการลงทุนซื้อธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักเพราะจะช่วยสร้างรายได้และกำไรเร็วกว่าลงทุนพัมนาเอง

“ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ บริษัทต้องปรับกลยุทธ์ด้านการผลิตและการค้ารับมือในระยะสั้น โฟกัสและเลือกลงทุนมากขึ้นเน้นการลงทุนที่เป็นโครงการที่ Good หรือ Growth Project โครงการที่เป็นโครงการลงทุนระยะยาว 4-5 ปีต้องเริ่มดำเนินการใหม่ทั้งหมดอาจจะชะลอไปก่อน ทั้งนี้ ยังเร่งเพิ่มประสิทธิภาพและรัดเข็มขัด โดยการลงทุนหรือขยายการลงทุนในโครงการที่มีอยู่แล้วเพื่อปรับปรุงการผลิตและต้นต้นทุนการผลิต รวมทั้งมองหาโอกาสทางการค้าในตลาดอื่นมากขึ้น เช่น เกาหลีใต้ ยุโรป เป็นต้น เพื่อชดเชยการส่งออกสินค้าไปยังจีนที่ลดลง” นายรุ่งโรจน์กล่าว

นายรุ่งโรจน์กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างทบทวนเป้าหมายรายได้ปีนี้ใหม่คาดจะติดลบ 9-10% เทียบกับปีที่ผ่านมา จากเดิมคาดไว้รายได้จะเพิ่มขึ้น 5-10% เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 221,473 ล้านบาท ลดลง 7% โดยธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้ 92,235 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 16% ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีรายได้ 41,529 ล้านบาท ลดลง 5% ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง อยู่ที่ 94,328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากการลงทุนภาครัฐที่ทำให้มีการใช้ซีเมนต์เพิ่มขึ้น ขณะที่วัสดุก่อสร้างยังทรงๆ ตัวคาดว่าหลังจากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาล อยากให้เร่งเดินหน้าโครงการลงทุนต่างๆ ออกมาซึ่งจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นเอกชนและภาพรวมเศรษฐกิจได้

นายรุ่งโรจน์กล่าวด้วยว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าบริษัทประเมินว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่า 1 บาทจะมีผลกระทบต่อบริษัทราว 2,000 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นราว 1.70 บาท กระทบราว 3,400 บาท อย่างไรก็ตาม โดยรวมครึ่งปีแรกบริษัทขาดทุนจากค่าเงินบาทราว 5,300 ล้านบาท โดยการซื้อขายสินค้ามีกำไรราว 689 ล้านบาท แต่ขาดทุนทางบัญชีจากไปลงทุนต่างประเทศในช่วงที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าก่อนหน้านี้ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนปัจจุบันราว 31.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการแลกเงินบาททันทีหลังจากได้รับการชำระค่าสินค้า รวมทั้งมีการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินด้วย

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image