ทีดีอาร์ไอแนะรัฐเพิ่มรายได้ภาษี ขึ้นแวตไม่สะเทือนคนจนใช้บัตรสวัสดิการอุ้ม

นายนณริฏ พิศลยบุตร

นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันเพื่อการจิวัยและพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงกรณีสำนักงบประมาณประเมินว่าหากรัฐบาลมีการดำเนินตามที่พรรคร่วมรัฐบาลได้หาเสียงไว้อาจจะต้องใช้เงินประมาณเพิ่มเติมอีกไม่น้อยกว่า 2-3 แสนล้านบาทนั้น ว่า แนวทางการหารายได้เพิ่มของรัฐบาลคือต้องมีการจัดเก็บรายได้ภาษีเพิ่มขึ้น โดยแนวทางแรกที่อยากจะให้เกิดขึ้นแต่อาจจะเป็นไปได้ยากทางการเมือง คือ การเก็บภาษีจากคนรวยมากขึ้นหรือการเก็บภาษีจากฐานทรัพย์สิน ซึ่งขณะนี้กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งกฎหมายภาษีมรดกหรือภาษีการรับให้ เสร็จเรียบร้อยแล้วรอบังคับใช้จริงซึ่งต้องติดตามว่าเมื่อจัดเก็บจริงจะมีรายได้เข้ามามากน้อยเพียงใด

นายนณริฏ กล่าวว่า แนวทางที่สองซึ่งอาจจะทำได้ง่ายกว่า คือ การขยายฐานภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคลของธุรกิจให้เพิ่มมากขึ้น เพราะปัจจุบันยังมีช่องว่างการหลีกเลี่ยงภาษีได้อยู่ อยากให้การจัดเก็บมีประสิทธิภาพมากขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น การเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) เป็นอีกทางที่ทำได้ เพราะจะมีผลในวงกว้าง และปัจจุบันอัตราภาษีแวตของไทยยังอยู่ในระดับต่ำที่ 7% โดยมีประเทศที่ภาษีแวตใกล้เคียงกัน คือ ญี่ปุ่น ซึ่งล่าสุดญี่ปุ่นได้มีการปรับขึ้นไปที่ 10% แล้ว โดยขณะนี้รัฐบาลมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้วหากปรับเพิ่มแวตกลุ่มนี้มากนัก ทั้งนี้ อาจจะมีการเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตในสินค้ากลุ่มต่าง ๆ ได้อีก เช่น ภาษีรถยนต์ ภาษีเรือยอร์ช ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีการจัดเก็บอยู่แล้ว และขณะนี้มีการเก็บเพิ่มภาษีความหวาน ภาษีความเค็มมากขึ้น ถือเป็นแนวทางที่ดี เพราะหากในอนาคตผู้บริโภคเจ็บป่วยจากการบริโภคสินค้าเหล่านี้ภาครัฐก็จะต้องมีงบประมาณด้านสาธารณสุขของรับ เช่น ผ่านโครงการบัตรทอง เพิ่มมากขึ้น ส่วนการใช้การกู้เงินเพื่อนำมาใช้จ่ายนั้น มองว่าปัจจุบันมีกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐที่กำกับดูแลอยู่ทำให้ต้องมีการพิจารณาอย่างเคร่งครัดในการใช้เงินกู้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image