คิดเห็น share : เครื่องมือของผู้ประกอบการไทย..ระบบไออินดัสทรี (i-Industry) : โดย ดร.ณัฐพล รังสิตพล
สวัสดีทุกท่านครับ หากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของผม คงพอทราบแล้วว่า ส่วนใหญ่เรื่องราวที่ผมหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการต่างๆ ของภาครัฐที่ช่วยสนับสนุนและส่งเสริมภาคการผลิต หรือแนวทางการปรับตัวของภาคเอกชนเองก็ตาม เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกในยุดดิจิทัล ซึ่งเรื่องที่ผมจะมาแชร์ในครั้งนี้ ก็ไม่หนีไปจากเรื่องเดิมมากนัก แต่จะเป็นมุมคิดในด้านการปฏิรูปการทำงานของภาครัฐกับการเพิ่มประสิทธิภาพของภาคเอกชน ว่ามีความเชื่อมโยงกันอย่างไร…!!
ก่อนอื่นผมขออ้างอิงข้อมูลสำคัญที่พูดถึงสถานะขีดความสามารถของบ้านเราให้ทุกท่านได้เห็นภาพก่อนครับ นั่นคือ ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของทั่วโลกรวม 63 ประเทศ ที่ปรากฏในรายงาน IMD World Competitiveness ประจำปี 2562 ของสถาบันไอเอ็มดี (IMD หรือ International Institute for Management Development) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งผมถือว่าเป็นข้อมูลที่น่ายินดีและท้าทายไปพร้อมๆ กันสำหรับประเทศไทย โดยในส่วนที่ต้องชื่นชมคือ ประเทศไทยได้เลื่อนอันดับความสามารถในการแข่งขันขึ้นมาอยู่ อันดับที่ 25 และเป็น อันดับที่สูงสุดในรอบ 14 ปี เลยทีเดียว หลังจากที่ไทยเคยอยู่ในตำแหน่งนี้เมื่อปี 2548 ซึ่งถ้าคลี่เข้าไปดูที่มาของอันดับดังกล่าวแล้ว จะพบว่าไทยสามารถทำคะแนนได้ดีขึ้นเกือบทุกด้าน ทั้ง “ด้านสภาวะทางเศรษฐกิจ” ซึ่งมีปัจจัยบวกจากอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำและการขยายตัวของการลงทุนจากต่างประเทศ “ด้านประสิทธิภาพภาครัฐ” โดยเฉพาะการผลักดันนโยบายต่างๆ ไปสู่การปฏิบัติจริงและการออกกฎหมายที่ช่วยให้การทำธุรกิจในประเทศคล่องตัวมากขึ้น และ “ด้านโครงสร้างพื้นฐาน” ที่แม้จะมีการพัฒนาดีขึ้นแล้ว แต่ยังมีโครงสร้างบางอย่างจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น ระบบการศึกษา ระบบสาธารณสุข เป็นต้น
เมื่อมีด้านดี ก็ย่อมมีอีกด้านที่ท้าทายและต้องเร่งปฏิรูป สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตจากข้อมูลการจัดอันดับของไอเอ็มดี คือ การส่งสัญญาณเตือนว่า ไทยกำลังสูญเสียอันดับ “ด้านประสิทธิภาพภาคธุรกิจ” แม้เราจะยังอยู่ในอันดับที่กลางๆ ก็ตาม ซึ่งการพัฒนาผลิตภาพและประสิทธิภาพถือเป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ประกอบการกลุ่มเอสเอ็มอี (SMEs) ที่ยังนำเครื่องมือและเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในกระบวนการผลิตและการทำธุรกรรมต่างๆ ไม่มากนัก ทำให้บางครั้งอาจจะพลาดโอกาสทางธุรกิจ และไม่สามารถก้าวทันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ผมขอย้อนกลับไปในตอนต้นที่ตั้งคำถามไว้ว่า แล้วการปฏิรูปการทำงานของภาครัฐจะเชื่อมโยงไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของภาคเอกชนได้อย่างไร? ผมขอแชร์ตัวอย่างการปรับปรุงกระบวนการทำงานของหน่วยงานรัฐในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ปรับรูปแบบการให้บริการและการทำงานของหน่วยงานภายในกระทรวงให้เป็นระบบดิจิทัลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการยื่นขอหรือต่ออายุใบอนุญาตต่างๆ
การรายงานการประกอบการอุตสาหกรรม รวมถึงการชำระค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมที่สามารถทำธุรกรรมเหล่านี้ผ่านระบบออนไลน์ที่มีชื่อว่า “ไออินดัสทรี (i-Industry)” ได้แล้ว ซึ่งในอนาคตภาพของผู้ประกอบการต้องหอบแฟ้มเอกสารมากมายมาติดต่อหน่วยงานรัฐก็จะไม่มีให้เห็นแล้วนะครับ เพราะท่านสามารถนั่งทำธุรกรรมต่างๆ อยู่ที่ออฟฟิศได้เลย เช่น การขออนุญาตตั้งโรงงาน การขอใบ มอก. หรือการขอ ECO Sticker ที่ผมเคยแชร์ให้ทุกท่านได้ทราบไปแล้ว
นอกจากเทคโนโลยีดิจิทัล กระทรวงอุตสาหกรรม ยังนำเทคโนโลยี การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ บิ๊กดาต้า (Big Data) มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลอุตสาหกรรมจากหน่วยงานภายใน และข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานภายนอก เพื่อให้เกิดการบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ (Online service) ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดและความซ้ำซ้อนของเอกสาร ช่วยอำนวยความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อราชการ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐในการกำกับดูแลโรงงานและผู้ประกอบการไทยกว่าแสนราย
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ผมอยากจะแชร์ให้ทุกท่านเห็นว่า ภาครัฐเองจำเป็นต้องเร่งปฏิรูปกระบวนการทำงานและกฎระเบียบต่างๆ ให้ทันโลก ด้วยการใช้ระบบดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการส่งเสริม สนับสนุน และอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการไทยให้มีประสิทธิภาพภาคธุรกิจและขีดความสามารถในการแข่งขัน สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของยุค 4.0 และพร้อมรับมือกับสถานการณ์โลกในอนาคตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง