ความเศร้าสร้อยอันหอมหวานบน“รถไฟด่วนเวียดนามเส้นทางรวมชาติ” … ในระยะเวลา 36 ชั่วโมง

การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยด้วยรถไฟทำให้คุณเดินทางไปถึงจุดหมายพร้อมชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามตื่นตาตื่นใจระหว่างทาง รถไฟสายกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และ กรุงเทพฯ-หัวหิน ซึ่งมีระยะทางและเส้นทางที่แตกต่างกันมอบประสบการณ์ที่หลากหลายให้กับคุณทั้งบนรถไฟ และ ณ จุดหมายปลายทาง หรือคุณอาจเลือกนั่งรถไฟหรูหราระยะทาง 2 วัน 1 คืนที่ชื่อว่า “อีสเทิร์น แอนด์ โอเรียนทัล เอ็กเพรส” (Eastern & Oriental Express) จากสิงคโปร์มากรุงเทพฯ ก็ได้เพื่อสัมผัสประสบการณ์การผจญภัยแบบชั้นหนึ่ง (First Class) บนเส้นทางที่ทอดยาวผ่าน 3 ประเทศ (สิงคโปร์ มาเลย์เซีย และไทย) ขณะที่ในเวียดนามเองก็มีประสบการณ์การเดินทางด้วยรถไฟที่แตกต่างและไม่เหมือนใครรอให้คุณได้สัมผัสเช่นเดียวกัน

ในปี พ.ศ. 2479 เมื่อครั้งที่ชาวฝรั่งเศสเริ่มเดินรถไฟสาย “อินโดจีน” (Transindochinois) เชื่อมระหว่างฮานอยกับไซ่ง่อน มีการจัดงานกาล่าเฉลิมฉลองหลายแห่ง มีการจัดการแข่งขันกีฬาหลากหลายชนิด และมีการออกสแตมป์ที่ระลึกหลายลายให้ได้สะสม ซึ่งทุกงานนั้นมีองค์ประธานจัดงานคือพระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ผู้ทรงเป็นทั้งเจ้าผู้ครองเมืองและแม่ทัพที่ทรงเสน่ห์ของเวียดนามในขณะนั้น

ขบวนรถไฟสายทรานส์อินโดจีนเมื่อทศวรรษ 1930 (historicvietnam.com)

ตัวรถไฟสาย “อินโดจีน” เองนั้นถือเป็นสุดยอดของการตกแต่งรถไฟสไตล์ฝรั่งเศส ตัวรถวิ่งได้ 1,730 กิโลเมตรภายในเวลา 40 ชั่วโมง ให้บริการ 4 ชั้นบริการ รวมถึงตู้นอนและตู้เสบียงแบบบุฟเฟต์ เป็นเรื่องน่าเศร้าที่การรุกรานโดยกองทัพญี่ปุ่นมายังบริเวณเขตอินโดจีนที่ปกครองโดยฝรั่งเศส และเหตการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้การเดินรถไฟที่ตกแต่งสไตล์ฝรั่งเศสนี้ต้องสิ้นสุดลงหลังจากเปิดให้บริการได้เพียง 4 ปี ทิ้งไว้เพียงความทรงจำของสิ่งที่หลงเหลือจากเส้นทางรถไฟสายที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สายนี้

Advertisement

บริการรถไฟของเวียดนามในปัจจุบัน หรือที่เรียกว่า “รถไฟด่วนสายรวมชาติ” (Reunification Express) อาจไม่ได้ตกแต่งสวยงามเท่าสมัยก่อนแบบรถไฟสไตล์ฝรั่งเศส แต่ด้วยเที่ยวรถไฟกว่า 6 เที่ยวต่อวันและบริการชั้นโดยสารกว่า 5 ชั้น (ซึ่งรวมถึงตู้นอน ซึ่งเป็นชั้นโดยสารที่ “ทีมเล่าเรื่อง” เลือกใช้บริการในครั้งนี้) ก็เป็นทางเลือกในการเดินทางที่ค่อนโรแมนติกและชิว ๆ สบาย ๆ กว่าหากเทียบกับการเดินทางด้วยเครื่องบินที่มีประมาณ 60 เที่ยวบินต่อวันที่ระหว่างเมืองศูนย์กลางสำคัญทั้ง 2 เมืองของเวียดนามอย่างฮานอยและไซ่ง่อน

ด้วยเวลาที่ใช้ในการเดินทางเพียง 36 ชั่วโมง ถือว่ารถไฟเวียดนามในปัจจุบันนั้นใช้เวลาสั้นกว่าสมัยก่อนถึง 4 ชั่วโมง

ขบวนรถด่วนสายรวมชาติซึ่งให้บริการอยู่ในปัจจุบัน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ “ทีมเล่าเรื่อง” ได้เลือกเดินทางด้วยรถไฟแบบใช้เวลา 1 วันครึ่งจากเมืองหลวงของเวียดนามไปยังทางตอนใต้ของประเทศอันเป็นศูนย์ธุรกิจที่คึกคัก ซึ่งตลอดเส้นทาง “ทีมเล่าเรื่อง” ได้สัมผัสกับสังคมเวียดนามอย่างเต็มอิ่มทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นชาวเหนือที่ค่อนข้างสงบเสงี่ยม ชาวภาคกลางที่สดใสร่าเริงและสบาย ๆ กว่า รวมไปถึงความอุดมสมบูรณ์ที่อบอุ่นในทางภาคใต้ของเวียดนาม

Advertisement

ช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุด (จนแทบจะหยุดหายใจก็ว่าได้) ก็คือตอนที่จู่ ๆ ขบวนรถไฟของ “ทีมเล่าเรื่อง” ก็โผล่ตรงริมทะเลในช่วงเช้าตรู่ที่เมืองเว้

“ทีมเล่าเรื่อง” จองที่นั่งแบบเตียงบน ซึ่งถือว่าปีนขึ้นไปนอนได้ไม่ง่ายนักหากพิจารณาจากความสูงและขั้นบันไดที่ติดตั้งไว้ในตำแหน่งที่ประหลาดทำให้ปีนได้ยาก หลังจากกลับมาจากทริปนั้นแล้วเมื่อคิดย้อนกลับไปก็เห็นว่าบันไดสำหรับปีนขึ้นเตียงเหล่านั้นน่าจะเหมาะให้นักกีฬาหรือนักปีนเขาปีนเสียมากกว่า ไม่น่าจะเหมาะกับคนธรรมดาอย่างเรา

ที่นั่งรถไฟชั้นสาม

แต่ถึงจะปีนขึ้นได้ลำบาก ที่นั่งแบบเตียงบนก็ถือเป็นทางเลือกที่สบายและมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า หากเทียบกับที่นั่งที่เป็นเก้าอี้ไม้แข็ง ๆ ทื่อ ๆ ในชั้นประหยัด (ถึงแม้ผู้โดยสารในชั้นประหยัดจะแก้ปัญหานี้ด้วยการนำเสื่อส่วนตัวมาปูรองนอนกับพื้นกันเองก็เถอะนะ)

สภาพบนขบวนรถไฟในยามกลางคืน

อาหารบนรถไฟนั้นน่าผิดหวัง นักเดินทางส่วนใหญ่ขนเสบียงกันมาเอง พร้อมซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยกันมาคนละไม่น้อย เพิ่มสารอาหารด้วยการเติมเนื้อสัตว์หรืออะไรก็ตามที่พอจะหาซื้อได้ตามรถเข็นบนชานชาลา ในช่วงที่รถไฟจอดพักสั้น ๆ ตามสถานีหลัก ๆ เช่น สถานีเว้ กับ สถานีดานัง

การเดินทางด้วยรถไฟเปรียบเสมือน “พิภพเล็ก ๆ ของสังคมเวียดนาม” ก็ว่าได้ ผู้คนช่างเรียบร้อยและมีความรับผิดชอบ พวกเขาเก็บขยะของตนเองไปทิ้งถังขยะเรียบร้อยและไม่ละสายตาจากบรรดาเด็กน้อยที่วิ่งเล่นไปมาบนขบวนรถ ถือว่าคนเวียดนามเป็นประชากรที่ขยันขันแข็ง มีความกระตือรือร้น และมีความรักครอบครัวสูง

แม้ว่าบริการรถไฟในปัจจุบันจะไม่ได้ตกแต่งสวยงามอย่างสไตล์ฝรั่งเศสสมัยก่อน แต่สำหรับนักท่องเที่ยวบางคน เช่น คุณยายอายุ 60 ปีจากเมืองหายเซือง(ทางภาคเหนือของเวียดนาม)อย่างคุณยายหานฮ์ (นามสมมติ) ท่านนี้แล้วนั้น การเดินทางด้วยรถไฟดูเป็นอีกวิธีหนึ่งในการเชื่อมต่อกับความทรงจำในวัยเด็กของตนอีกครั้งหนึ่ง

คุณยายพูดอย่างตาละห้อยถึงครั้งอดีต “ในยุคนั้นน่ะ…ลำบากมากนะ” คุณยายกล่าวพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “ย้อนกลับไปแต่ก่อนนะ พวกยายน่ะเดินทางไปไหนมาไหนได้ก็เฉพาะในเขตเวียดนามเหนือเท่านั้นแหละ แล้วตอนนั้นรถไฟก็สกปรกมากหนูเอ๊ย คน[โดยสาร]นี่แน่นจนล้นขบวน สมัยนี้รถไฟสภาพดีกว่าสมัยยายสาว ๆ มากจ้ะลูก”

แน่นอนคุณยายจำได้แม่นว่าเมื่อครั้งยังเป็นเด็กคุณยายเคยสงสัยว่ารถไฟวิ่งบนดินหรือวิ่งบนน้ำกันแน่ แต่วันนี้คุณยายตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องลองเดินทางด้วยรถไฟแบบเที่ยวเดียว (one-way trip) สักครั้งจะได้รู้กันไปเลยสักทีว่าตกลงรถไฟวิ่งบนดินหรือบนน้ำกันแน่ โดยคุณยายจะนั่งเครื่องบินกลับฮานอยแทนหลังจากที่ได้ใช้เวลากับญาติ ๆ ที่ทางใต้แล้ว

ทิวทัศน์เมืองเว้

การเดินทางด้วยรถไฟโดยธรรมชาติของตัวมันเองนั้นเป็นการเดินทางที่ยาวนานและเหนื่อยล้า เวลาส่วนใหญ่บนรถไฟ คือการได้มองออกไปนอกหน้าต่าง การอยู่กับความคิดของตัวเอง และการชมวิวทิวทัศน์ข้างทาง ซึ่งประกอบไปด้วยทุ่งนา ไร่ข้าวโพด แปลงผัก และหนองบัว ซึ่งเป็นหลักฐานความเจริญงอกงามในเขตชนบทของเวียดนาม

เสียงรถไฟแล่นกระฉึกกระฉัก ๆ ซ้ำไปซ้ำมาจะโอบล้อมคุณไว้ช่วยให้คุณตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองลึกเข้าไปอีก ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องไปฝืนภวังค์นี้ ปล่อยให้มันโอบล้อมคุณและปล่อยให้จิตใจของคุณได้ล่องลอยไป ทั้งย้อนกลับไปในอดีตเพื่อประเมินความทรงจำต่าง ๆ อีกครั้ง (เหมือนอย่างของคุณยายหานฮ์) และคิดไปถึงเรื่องอนาคต ขณะที่คุณนั่งดูบรรดาเด็กเล็ก ๆ วิ่งเล่นไปมาบนรถไฟ

เมื่อถึงสถานีปลายทางคุณอาจรู้สึกงุนงงเล็กน้อยเพราะนั่ง ๆ นอน ๆ บนรถไฟมาหลายชั่วโมง (เอาให้เป๊ะ ๆ คือ 36 ชั่วโมง)

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์บนรถไฟนี้ถือเป็นความเศร้าสร้อยอันหอมหวานที่จะทิ้งให้คุณรู้สึกเจ็บปวดทว่าพึงพอใจที่ได้ใช้เวลาคนเดียวอยู่กับความคิดของตัวเอง คุณจะรู้สึกขอบคุณที่ได้ผละจากโทรศัพท์มือถือของตัวเองสักพักเนื่องจากบนรถไฟก็ไม่ค่อยมีสัญญาณโทรศัพท์

ทำให้คุณได้อยู่กับตัวเองเต็มที่

สถานีไซ่ง่อน
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image