ผู้เขียน | ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช |
---|
สงครามการค้าไม่ทันจบ สงครามค่าเงินเข้ามาแทรก อันเป็นที่ประจักษ์ว่า ประเทศจีนได้ลดค่าเงินหยวน อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินหยวนอ่อนค่าทะลุ 7 หยวนต่อ 1 เหรียญสหรัฐ
สหรัฐได้ขึ้นบัญชีให้จีนเป็นประเทศบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยน (Currency manipulator)
เป็นสงครามรอบใหม่ระหว่างจีน-สหรัฐ
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อต้นเดือนสิงหาคม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศให้ปรับเพิ่มพิกัดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็นร้อยละ 10 ในจำนวน 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ธนาคารจีนยืนยันว่า การลดค่าเงินหยวนก็เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของตลาด
แต่สังคมมองว่าเป็นความตั้งใจของรัฐบาลจีนที่จะปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าลง เพื่อเป็นการตอบโต้สหรัฐอันเกี่ยวกับการปรับขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน
หากวิเคราะห์ในด้านตรรกะ น่าจะเป็นการตักเตือนสหรัฐในเชิงสัญลักษณ์ว่า อย่าถือว่าการปรับเพิ่มภาษีศุลกากรคือมาตรการที่จะทำการบังคับให้จีนยอมจำนนในบรรดาประเด็นปัญหา
อดีต การขึ้นบัญชี “ประเทศบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยน” ถือเป็นกลยุทธ์เด็ดของสหรัฐ
ปัจจุบัน กลยุทธ์ดังกล่าวใช้กับจีนคงไม่สัมฤทธิผล
การที่จีนใช้มาตรการแข็งกร้าวตอบโต้ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า
ไม่ฝากความหวังมากอันเกี่ยวกับการบรรลุสัญญาข้อตกลงทางการค้า
สงครามการค้าจีน-สหรัฐเจรจาไปพิพาทไป
กลยุทธ์ของ “โดนัลด์ ทรัมป์” คือก่อนประชุมเจรจาจะทำการกดดัน อาทิ
ก่อนการเจรจาการค้าเมื่อเดือนพฤษภาคม เขาได้ประกาศปรับเพิ่มพิกัดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีน 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในอัตราร้อยละ 25
การประชุมสุดยอด “ทรัมป์-สี” เมื่อปลายเดือนมิถุนายน จีน-สหรัฐตกลงยินยอมฟื้นฟูการเจรจา “โดนัลด์ ทรัมป์” กล่าวว่าจะไม่มีการปรับเพิ่มภาษีศุลกากรชั่วคราว
และแล้วเขาก็ปรับ โดยไม่รักษาสัจจะ กล่าวคือ เมื่อต้นเดือนสิงหาคม คณะผู้แทนจีน-สหรัฐได้ประชุมกันที่เซี่ยงไฮ้ เพื่อปูทางสำหรับการประชุมการค้ารอบใหม่ในเดือนกันยายน
ทั้งนี้ “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้ประกาศอย่างกะทันหันให้ปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสินค้าจีน 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในอัตราร้อยละ 10 โดยให้เริ่มมีผลวันที่ 1 กันยายน 2019
สหรัฐใช้มาตรการกดดันแบบเดิมๆ จีนไม่ยอมอ่อนข้อ นอกจากยุติการซื้อสินค้าเกษตร และยังไม่ตัดประเด็นการปรับขึ้นอัตราภาษีการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ
แต่เรื่องที่ “ฮอต” ที่สุดคือการลดค่าเงินหยวน “ทะลุ 7 หยวนต่อ 1 เหรียญ”
เป็นประเด็นที่โจษขานกันทั่วโลก
หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจสึนามิ 2008 จีนไม่เคยปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าตกขอบ “7 หยวน/1 เหรียญ” ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี
ธนาคารจีนได้แก้ตัวแบบ “ข้างๆ คูๆ” ว่า เหตุการณ์เงินหยวนอ่อนค่า ก็เพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจทั่วโลกและความขัดแย้งทางการค้าเป็นเหตุ
แต่สังคมมองว่า การลดค่าเงินหยวนคือ “ไพ่เด็ด” ที่จีนนำมาใช้ในสงครามการค้า
ทั้งนี้ เป็นการแจ้งเตือนสหรัฐในเชิงสัญลักษณ์ว่า ในกรณีจำเป็นจีนสามารถใช้ไพ่ดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการตอบโต้กับการปรับขึ้นกำแพงภาษีศุลกากร
จึงสร้างความกังกวลให้ตลาดโลกว่า สงครามการค้ายกระดับบานปลายกลายเป็น
“สงครามค่าเงิน”
สหรัฐได้ข่มขู่ขึ้นบัญชีให้จีนเป็นประเทศบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยน (Currency manipulator) มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ยังไม่ปรากฏ อาจเพราะทำไม่สำเร็จหรือไม่ได้ทำ
ตั้งแต่ 1994 เป็นต้นมา ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่สหรัฐนำจีนขึ้นบัญชีดังกล่าว
แต่วันนี้ของจีนได้พัฒนาไปไกลแล้ว การลงดาบของสหรัฐมิได้ทำให้จีนเดือดร้อนมาก การกล่าวหาจีนก็ยังไม่มีหลักฐานมานำสืบเพื่อสนับสนุน
การที่สหรัฐขึ้นทะเบียนให้จีนเป็น “ประเทศบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยน” นั้น เป็นการสะท้อนในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าการตอบโต้อย่างจริงจัง
บัดนี้ ความขัดแย้งทางการค้าจีน-สหรัฐเข้าสู่ภาวะชะงักงัน ต่างไม่มี “หมัดเด็ด” เพื่อเอาชนะแบบ “น็อกเอาต์” ได้ เพียงเพื่อ “แลกหมัด” กันเท่านั้น เช่น
การปรับกำแพงภาษีครั้งล่าสุดของสหรัฐร้อยละ 10 ส่วนใหญ่เป็นเครื่องอุปโภคบริโภค อันได้แก่ ของเด็กเล่น โน้ตบุ๊กและโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
ถือเป็นเรื่องเล็กสำหรับจีน เพราะเพียงเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของจีนลดลงร้อยละ 0.5 เท่านั้น แต่สหรัฐได้รับความเสียมากกว่า ซึ่งกระทบถึงผู้บริโภคและผู้ค้าปลีก
หากต่อไปในอนาคต “โดนัลด์ ทรัมป์” ปรับเพิ่มภาษีจากร้อยละ 10 ให้เป็น 25
สหรัฐก็จะเจ็บมากกว่านี้
กรณีละม้ายกับ “โดนัลด์ ทรัมป์” เอาค้อนมาทุบนิ้วของตน
ส่วนกรณีที่จีนลดค่าเงินหยวนเพื่อเป็นการตอบโต้สหรัฐนั้น ผลเสียคือ
1.อาจเป็นเหตุให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศ
2.ธุรกิจจีนยังต้องชำระหนี้ด้วยเงินเหรียญสหรัฐ ย่อมต้องเสียเปรียบเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน
จึงไม่ควรใช้มาตรการลดค่าเงินอย่างพร่ำเพรื่อ
แต่ไม่ว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” จะใช้มาตรการใดกดดันจีนก็ตาม จีนยืนหยัดตอบโต้ด้วยมาตรการ
“ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
ต้องไม่ลืมว่า “จีนวันนี้มิใช่จีนเมื่อวันวานที่ผันผ่าน”
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช