นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายในงานสัมมนา”มหากาพย์สงครามการค้า เมื่อพญาอินทรีไล่ขยี้พญามังกร “ ที่โรงแรมเดอะ เบอร์เคลียร์ ประตูน้ำ ว่า ในวันที่ 14 สิงหาคม ที่กระทรวงพาณิชย์ จะมีการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน ( กรอ.พาณิชย์)นัดแรก ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ซึ่งจะหารือและรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะ ปัญหาและอุปสรรคด้านการส่งออก จากภาคเอกชน เพื่อที่จะรวมกันในการผลักดันให้การส่งออกของไทยขยายตัวได้ รวมถึงเตรียมมาตรการรองรับปัญหาสงครามการค้า โดยเฉพาะต้องจับตาสินค้าจีนทะลักเข้ามาในไทยและอาเซียน ที่จะกระทบต่อสินค้าภายในประเทศ ซึ่งไทยก็มีกฎหมายในการป้องกันสินค้าทุ่มตลาด ในการป้องกันปัญหาสินค้าทะลักเข้าไทยจนกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ค้าของไทย ที่จะนำมาใช้หากพบว่าสินค้าไหลเข้ามามากเกินความจำเป็นและกระทบต่อสินค้าไทย ก็สามารถจะประกาศใช้มาตรการปกป้องป้องกันต่างๆได้ทันที
นายบุณยฤทธิ์ กล่าวว่า ในการประชุมก็จะมีตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพื่อมารับฟังและชี้แจงในเรื่องการดูแลค่าเงินบาท และผลกระทบที่อาจเกิดจากค่าเงินหยวนอ่อน และผลจากนโยบายทางการเงินของไทย หลังลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%
นายบุณยฤทธิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับตัวเลขการส่งออก ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ยังยืนยันตัวเลขเป้าหมายขยายตัว 3% เพราะคงต้องรอดูปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออก อาทิ สถานการณ์สงครามการค้าช่วง 4-5 เดือนข้างหน้า หาก2ฝ่ายไม่มีอะไรที่ตอบโต้เพิ่มอีก สถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น และส่งออกไทยก็มีทั้งลบและบวก เช่น ตลาดสหรัฐ ประกอบกับกระทรวงเตรียมแผนผลักดันและเร่งส่งออกรวมกับภาคเอกชนต่อเนื่อง ไม่แค่รักษาตลาดเดิม หาตลาดใหม่ รวมถึงการฟื้นฟูตลาดเก่า เช่น อิรัก ตลาดค้าข้าวไทยหลักของไทนยในอดีต ที่จะเจรจาให้กับมาค้าขายกันอีกครั้ง
“ ความไม่สงบในประเทศฮ่องกง เชื่อว่าเป็นสถานการณ์ระยะสั้น และยังไม่มีผลกระทบต่อการค้าระหว่างไทยกับฮ่องกง เพราะจากที่ติดตามสายการบินเริ่มกลับมาให้บริการตามปกติและระบบการขนส่งสินค้าอื่นๆยังสามารถขนส่งได้ ซึ่งยังมีการสั่งการทูตพาณิชย์ติดตามสถานการณ์และรายงานเหตุการณ์ต่อเนื่อง เพราะฮ่องกงถือว่าเป็นประตูทางด้านการค้าของไทยแหล่งหนึ่งในการเข้าจีนและประเทศอื่นๆ “นายบุณยฤทธิ์ กล่าว
นายบุณยฤทธิ์ กล่าวช่วงหนึ่งในการสัมมนาฯ ว่า กระทรวงพาณิชย์จะเสริมความรู้ให้กับผู้ประกอบการส่งออก ที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ และกระตุ้นให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ความแปรปรวนของเศรษฐกิจโลก พร้อมกันนี้กระทรวงจะเร่งรัดเจรจาเปิดการค้าเสรี เพื่อลดอุปสรรคและเพิ่มการค้าระหว่างกัน เช่น อาร์เซ็ป เตรียมฟื้นเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู เสนอครม.เห็นชอบเข้ากรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก(ซีพีทีพีพี) และดึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐด้วยกัน หรือ ภาคเอกชน ที่สำคัญส่งเสริมใช้เทคโนโลยีมาใช้ในการเพิ่มมูลค่าการค้าและเปิดตลาดสินค้าหรือบริการ เพราะพฤติกรรมใช้บริการจากอีคอมเมิร์ซมากขึ้น
