เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษว่า คณะกรรมการฯ ยังมีมติคลายล็อกกัญชง เห็นชอบในหลักการให้กัญชงสามารถเป็นพืชเศรษฐกิจ และมีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยเห็นชอบให้นำกัญชงที่มีสารทีเอชชี (THC) ต้องน้อยกว่า 0.2 สามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมผลิตอาหารและเครื่องสำอางได้ จากนั้นจะออกเป็นประกาศมารองรับ ได้แก่ 1.ประกาศคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เรื่อง กำหนดลักษณะกัญชง (Hemp) พ.ศ. …. และ 2.ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (ฉบับที่2) พ.ศ. ….” และขั้นต่อไปจะต้องไปออกประกาศเฉพาะ 3.ประกาศสำนักอาหาร และประกาศสำนักเครื่องสำอาง รวมถึงแก้ไข 4.กฎกระทรวงว่าด้วยกัญชง พ.ศ. ….. ซึ่งจำกัดในเรื่องการดำเนินการใน 3 ปีแรกจะต้องดำเนินการโดยภาครัฐ โดยให้เป็นโครงการร่วมหน่วยงานภาครัฐได้ในทันที และการนำกัญชงมาใช้จะต้องเป็นกัญชงที่ผลิตในประเทศไทย โดยจะมีการหารือในรายละเอียดต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่าภายหลังมีมติรับรองตำรับยาสูตรนายเดชาแล้ว นายเดชาจะผลิตยาได้โดยทันทีหรือไม่ นพ.สุขุม กล่าวว่า โดยวันนี้คณะกรรมการยาเสพติดฯ มีมติรับรองตำรับสูตรนายเดชา จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนามในประกาศต่อไป และเมื่อจะผลิต นายเดชา จะต้องมาขออนุญาตในการผลิตตามสูตรตำรับที่ขอต่อไป
เมื่อถามถึงความคืบหน้าการส่งน้ำมันกัญชาล็อตแรกขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) ให้แก่ 12 โรงพยาบาลศูนย์ เพื่อการดูแลรักษาผู้ป่วย นพ.สุขุม กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมส่งมอบยาให้แก่โรงพยาบาลศูนย์ทั้ง 12 แห่ง โดยปัจจุบันคณะกรรมการระบบบริการสุขภาพอยู่ระหว่างกำหนดมาตรฐานในการจ่ายยาเพื่อส่งไปให้ 12 โรงพยาบาลศูนย์ ซึ่งมีซึ่งมี นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดสธ. เป็นประธานคณะกรรมการฯ และในวันที่ 14 สิงหาคมนี้ จะมีการจัดประชุมเวิร์กช็อปเรื่องกัญชา เพื่อดูภาพรวมของระบบการดูแลผู้ป่วย พร้อมเชิญบุคลากรทางการแพทย์ และบุคคลภายนอก อาทิ แพทยสภา ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย เป็นต้น โดยระบบการจ่ายยาจะต้องมีทุกภาคส่วนช่วยวิพากษ์ เพื่อให้ระบบเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
