หุ้นเด่น : บีเจซีหุ้นเซฟโซน

ตั้งแต่เปิดเดือนสิงหาคมมาจนถึงกลางเดือน ภาพรวมตลาดหุ้นไทยผันผวนอย่างหนักหน่วง ซึ่งมีสาเหตุทั้งจากปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ทำให้เห็นภาพนักลงทุนทยอยขายเพื่อลดความ
เสี่ยง และเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น จึงต้องหันมาให้ความสนใจกับหุ้นที่ค่อนข้างมีความปลอดภัย คงที่ และไม่ผันผวนตาม
ภาวะตลาด โดยแนะนำเป็น บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี (BJC) ซึ่งเป็นหุ้นที่เชื่อว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดหวังว่าจะออกมาในเดือนนี้ด้วย

โดยบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า รายงานผลกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท โตขึ้น 18% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ซึ่งดีกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ถึง 28% โดยได้รับแรงหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับดีขึ้นเป็น 19.9% ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของธุรกิจอุปโภคบริโภคและร้านค้าปลีก โดยสัดส่วนการขายสินค้าในรูปแบบผู้ค้า
กับผู้ค้า (B2B) ลดลง แต่สามารถเลือกขายสินค้าที่มีอัตรากำไร
ขั้นต้นและบริหารสินค้าคงคลังได้ดีมากขึ้น ในขณะที่ยังเห็นการเติบโตของที่ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเติบโตของทุกธุรกิจ รวมถึงมีการจ่ายภาษีลดลงกว่า 11% จากปี 2561 อยู่ที่ 21% โดยคาดว่าเป็นประโยชน์ที่ได้มาจากการบันทึกภาษีของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และการปรับโครงสร้างทางภาษีเข้าสู่ภาวะปกติ

สำหรับไตรมาส 2 ที่ผ่านมาพบว่าบีเจซีมีการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมเป็นลบแบบบางๆ อยู่ที่ 0.3% แต่หากไม่รวมการค้าระหว่าง
ผู้ค้ากับผู้ค้าจะเป็นบวก 0.4% โดยบีเจซียังคงแผนการเปิดตัวสาขาใหม่ในต่างประเทศคือ ประเทศกัมพูชา 1 แห่ง ในเดือนตุลาคมนี้ โดยตั้งเป้าเปิดสาขา มินิบิ๊กซี MINI Bigc จำนวน 200 สาขาภายในปีนี้ โดยมีการเปิดสาขาใหม่กว่า 90 สาขา ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยได้มีการประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลอยู่ที่ 0.18 บาทต่อหุ้น ให้ผลตอบแทนของอัตราการจ่ายเงินปันผล 0.4% ขึ้นเครื่องหมาย XD (เครื่องหมายที่นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นของบริษัทดังกล่าวแล้ว จะไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล) ในวันที่ 28 สิงหาคมนี้ และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 13 กันยายนนี้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบีเจซีมีพัฒนาการที่ดีในการสร้างยอดขายทุกธุรกิจ รวมถึงการปรับปรุงและการบริหารจัดการดันทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของความสามารถในการทำกำไร ซึ่งเห็นได้จากระดับอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีโอกาสขยายตัวไปยังต่างประเทศ ซึ่งเป็นการต่อยอดรายได้ไปในอนาคต จึงแนะนำให้ชื้อในราคาที่เหมาะสม จำนวน 73 บาทต่อหุ้น

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image