เมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่วอยซ์ สเปซ ถนนวิภาวดี รังสิต มีการจัดเสวนา ‘วาระฝ่ายค้าน มุมมองสะท้อนปัญหาประเทศ กับ 3 ขุนพลทางความคิด
ในตอนหนึ่ง ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า เมื่อมองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยรวมเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะเศรษฐกิจฟุบเร็วกว่าที่คาด ทั้งนี้รัฐบาลคาดหวังว่าจะมีผลต่อเนื่องให้คนใช้จ่าย แต่เมื่อดูแล้วสินเชื่อทำให้คนเป็นหนี้เพิ่ม แม้จะไม่ดีขนาดนั้นแต่ก็อาจเป็นทางรอดได้ อีกส่วนคือการกระตุ้นให้คนใช้จ่าย ชิม ช้อป ใช้ กล่าวคือจ่ายให้คนที่ลงทะเบียน 1,000 บาท ไปเที่ยว ภายใน 2 เดือน รัฐบาลจะใช้งบประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ประชาชน ชิม ช้อป ใช้ แต่ก็ต้องมาใช้รัฐบาล เหมือนเป็นการให้ประชาชนใช้ไปก่อนแล้วกรมสรรพากรไปไล่บี้ทีหลัง เป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยให้จีดีพี(ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ)เพิ่มขึ้น ในลักษณะของการยันเอาไว้
อีกประการ การเติมเงินไปในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2 หมื่นล้านบาท รัฐบาลต้องการจะยันให้เศรษฐกิจอย่าทรุดลงไปแรง ยังมีงบกระตุ้นนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งรวมๆแล้ว คาดว่าจะมีเงินเข้าระบบ 1 แสนกว่าล้านบาท และหวังว่าจะขยายขึ้นไปอีก กล่าวคือรัฐบาลเล่นทั้งชนชั้นล่างและชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อเพื่อให้เศรษฐกิจ 2-3 เดือนต่อจากนี้ดีขึ้น เป็นการยันเอาไว้เพื่อไม่ให้ทรุด เรื่องการท่องเที่ยวที่ยกเลิกวีซ่าก็เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามามากขึ้น แต่มองอีกแง่ ถ้าอีกฝ่ายเก็บเรา เราก็ควรจะเก็บเขา จึงเกิดข้อสงสัยว่าควรหรือไม่
“เรื่องประกันราคา ก็อาจจะเป็นประเด็นเหมือนพรรคเพื่อไทย ไทยรักไทย ถ้าราคาต่างประเทศลงมากรัฐบาลจะขาดทุน จึงต้องตั้งมั่น ส่วนตัวมองว่าต้องกลับมาผูกกับค่าเงินบาท เพราะบาทจะเข็งตัวไปเรื่อยๆ จะขาดทุนได้ ถ้าบอกว่าประกันราคาข้าวสูงกว่าตลาดโลกมากๆ จะมีผลตามมาว่า ผลผลิตที่รัฐบาลสต็อกไว้ จะเสี่ยงต่อรัฐบาลเอง สิ่งที่รัฐบาลควรพูดถึงควรจะเป็นการประกันรายได้มากกว่า เพราะถ้าราคาสินค้าเกษตรต่ำ แต่รัฐบาลตั้งเป้ารายได้ที่เกษตรกรควรได้รับ และรัฐบาลเติมเงินส่วนที่เหลือให้เกษตรกร วิธีนี้จะไม่กระทบกับราคาและสินค้าเหลือ
รัฐบาลพูดถึงเรื่องใช้เงิน เพราะตอนนี้หนี้สารธารณะต่อจีดีพีไม่สูง แต่ปัญหาประเทศไทยคือจะมีประชากรสูงอายุอีกมากในอนาคต เป็นกลุ่มที่จะต้องใช้ทรัพยากร แต่ไม่ได้ทำงาน ถ้าดูไปยาวๆ รัฐบาลจะมีภาระเลี้ยงดูคนแก่อีกมากใน 20-30 ปีข้างหน้า จึงต้องระวัง และต้องคิดว่าจะปรับระบบเศรษฐกิจอย่างไร
ปัจจุบันคนไทยในวัยทำงาน ประมาณ 40 ล้านคน จะกลายเป็นผู้สูงอายุ อีกหน่อยเศรษฐกิจไทยจะโตยากและจน มีปัญหาเพราะไม่มีแรงงาน ปัญหาคนสูงวัยจึงเป็นโจทย์ใหญ่ของประเทศไทย
“ต้องระวังเรื่องประชากรแก่ตัว มีแผนยุทธยาสตร์ตรงนี้เถิด การรักษาโรคกับรักษาสุขภาพไม่เหมือนกัน รักษาโรค ใช้งบประมาณปีละ 1.5 แสนล้านบาท แต่งบ สสส.(สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ที่ส่งเสริมให้คนดูแลสุขภาพมีแค่ 3.8 พันล้านบาท ต้องทำให้คนไม่เข้าโรงพยาบาลเป็นหลัก เพราะคนแก่จะเริ่มเยอะ” ดร.ศุภวุฒิกล่าว