เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ที่ระดับ30.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนโดยต้องติดตามการรายงานตัวเลขอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ(จีดีพี) ไตรมาสที่2 ปี2562 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช. หรือสภาพัฒน์) ประเมินว่าจีดีพีจะขยายตัว2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนชะลอตัวลงจากระดับ2.8% ในไตรมาสแรก จากทั้งการบริโภคการลงทุนการใช้จ่ายของภาครัฐขณะที่ส่งออกก็หดตัวลงจากสงครามการค้าเชื่อว่ารายงานจีดีพีไทยจะกดดันให้เงินบาทเคลื่อนไหวในแดนอ่อนค่าด้วยความหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) อาจมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
นายจิติพล กล่าวว่า ขณะที่ในช่วงกลางถึงท้ายสัปดาห์ต้องจับตาไปที่การสัมนาประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่แจคสันโฮลโดยในปัจจุบันตลาดเชื่อว่าทุกธนาคารกลางมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายดอลลาร์สหรัฐจึงอาจไม่สามารถอ่อนค่าต่อได้มากนักยิ่งในช่วงที่ตลาดการเงินอยู่ในภาวะผันผวนทั้งนี้มองว่าความเคลื่อนไหวของตลาดทุนทั้งหุ้นและพันธบัตร(บอนด์) จะเป็นประเด็นหลักที่กำหนดทิศทางตลาดเงินอยู่ซึ่งภาพตลาดที่ปิดรับความเสี่ยงง่ายถือว่าไม่เป็นบวกต่อการลงทุนในเอเชียและเงินบาทคาดกรอบค่าเงินบาทวันนี้30.60 – 31.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นายจิติพล กล่าวว่า สัปดาห์นี้มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ได้แก่ วันที่20 สิงหาคม ต้องระวังความเสี่ยงการเมืองในอิตาลีเมื่อนายจูเซปเปคอนเตนายกรัฐมนตรีอิตาลีต้องเผชิญกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ(Vote of No-Confidence) จากวุฒิสภาที่อาจนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ในปีนี้และวันที่ 22 สิงหาคม นักลงทุนทั่วโลกจะจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟดในงานสัมมนาประจำปีเพื่อประเมินมุมมองเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและโอกาสการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีนี้ขณะเดียวกันฝั่งยุโรปก็จะรายงานการประชุมครั้งล่าสุดของธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) ด้วยซึ่งต้องจับตาว่าอีซีบีจะนำโครงการซื้อสินทรัพย์(APP) กลับมาใช้อีกครั้งหรือไม่ ในฝั่งเอเชียคาดว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางอินโดนีเซียจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ5.75% และในวันที่ 23 สิงหาคมกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่นจะเปิดเผยว่าอัตราเงินเฟ้อ(CPI) ในเดือนกรกฎาคมคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ0.5% ชี้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป
