กสอ.โชว์ผลโครงการไฮแวลูเอสเอ็มอี ดึงโค้ชดันเพิ่มลูกค้า 1 ล้านราย พร้อมหนุนใช้โซเชียลมีเดียเพิ่มยอดขาย 90 ราย ประยุกต์ธุรกิจตอบโจทย์ตลาดหนีกับดักรายได้ปานกลาง
น.ส.อริยาพร อำนรรฆสรเดช นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ กองพัฒนาขีดความสามารถธุรกิจอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(กสอ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานแถลงข่าวความสำเร็จและพิธีปิดกิจกรรมการพัฒนาขีดความสามารถของเอสเอ็มอี ว่าประเทศไทยในปัจจุบันยังติดอยู่กับปัญหากับดักรายได้ปานกลางมาโดยตลอด ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมฯได้มีเครื่องมือที่จะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวผ่านโครงการต่าง ๆ ทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของผู้ประกอบการ และสนับสนุนช่องทางการเข้าหาเงินทุน โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ที่เป็นกลุ่มที่จะต้องปรับและประยุกต์การดำเนินงานมากที่สุด เพื่อสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้
ทั้งนี้การดำเนินกิจกรรมพัฒนาขีดความสามารถของเอสเอ็มอี เพื่อเข้าสู่เอสเอ็มอีที่มีมูลค่าสูง หรือ ไฮแวลู เป็นการร่วมมือกับสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(อีสเม็ด) ที่ผ่านมานำร่องพัฒนา 10 ธุรกิจให้สามารถเข้าถึงตลาดได้ในยุคปัจจุบัน รวมทั้งยังตั้งเป้าจะเพิ่มยอดขายและลูกค้าได้ 1 ล้านราย ผ่านการให้ความรู้ ในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ โดยโค้ชที่มีความเชี่ยวชาญ และปัจจุบันมีหลายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มดังกล่าวเตรียมที่จะส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศอีกด้วย
ด้านนายเดชา จาตุธนานันท์ รองอธิบดี กสอ. กล่าวถึงผลการจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพทางการตลาดเอสเอ็มอีและผู้ให้บริการไอทีด้วยโซเชียลมีเดีย ปี 2562 ที่จัดในช่วงระหว่างเดือนมี.ค. – ส.ค. ว่าได้จัดฝึกอบรมด้าน Digital Branding จำนวน 3 รุ่น รวมทั้งหมด 90 ราย เพื่อเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ พร้อมให้คำปรึกษาแนะนำให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และผู้ให้บริการไอที ในการสร้างแบรนด์ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย เพิ่มศักยภาพทางการตลาดให้น่าสนใจและน่าจดจำมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้จากการดำเนินงานทำให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถพัฒนาแบรนด์ให้มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น สามารถขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีการประยุกต์ใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการตลาดให้เกิดยอดขายและลดต้นทุนไม่น้อยกว่า10%1 และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 67.14% ที่เข้าร่วมโครงการฯ มีพัฒนาการสื่อสารแบรนด์ผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งสามารถเพิ่มยอดขายรวมเดือนละกว่า 37 ล้านบาท และคาดการณ์ยอดขายเพิ่มขึ้นต่อปีเป็นเงินกว่า 445 ล้านบาท
