เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในงานสัมมนาวิชาการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ครั้งที่16 หัวข้อ“คลังคิดเศรษฐกิจเชิงพื้นที่” จัดโดยสศค. ที่โรงแรมสยามเคมเปนสกี้ ว่า โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่กำลังจะหมดอายุลงและจะต้องมีการเปิดลงทะเบียนรอบใหม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสรุปข้อมูลรายละเอียดในการลงทะเบียนรอบใหม่ว่าจะใช้เกณฑ์รายได้บุคคลหรือรายได้ทั้งครัวเรือนเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงรวมทั้งจะใช้แนวคิดเศรษฐกิจเชิงพื้นที่เพื่อให้ผู้ได้รับบัตรสวัสดิการใช้บัตรสวัสดิการได้ตรงกับความต้องการซึ่งในที่สุดจะช่วยประหยัดงบประมาณจองภาครัฐลงได้คาดว่าจะสรุปได้ภายเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคมนี้ทำให้โครงการจะมีความต่อเนื่องในปี2563 ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) 7% ที่จะหมดอายุลงวันที่30 กันยายน2562 จะขยายอายุต่อหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้สรุปต้องพิจารณาให้รอบคอบซึ่งต้องทั้งรูปแบบการขยายและระยะเวลา
ส่วนกรณีแนวคิดการพิจารณานำงบประมาณที่อยู่ในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) วงเงินงบประมาณ 6 แสนล้านบาทมาใช้ และกระแสข่าวว่ากระทรวงการคลังไม่มีเงินจนต้องหางบประมาณอื่นมาใช้นายอุตตม ขอเคลียร์ว่า สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 3.16 แสนล้านที่ออกมามีความชัดเจนว่าใช้งบประมาณเท่าไรและมาจากไหน แต่มีแนวคิดเรื่องที่แต่ละท้องถิ่นมีงบประมาณของตนเองอยู่แล้วจะนำมาใช้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับงบของอปท. เป็นงบที่มีไว้เพื่อใช้จ่ายพัฒนาประเทศหากจะนำมาใช้ก็ต้องพิจารณาในรายละเอียดซึ่งข้อมูลอยู่ที่สำนักงบประมาณและกระทรวงมหาดไทต้องมาหารือกันและสรุปให้ชัดเจนว่าสามารถนำมาใช้ได้มากน้อยแค่ไหนยังไม่ได้มีการสรุปรายละเอียด
นายอุตตมกล่าวว่าสำหรับอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ(จีดีพี) ไตรมาสที่2 ที่ออกมามีแนวโน้มชะลอตัวลงแต่ไม่กังวลและเชื่อว่าครึ่งปีหลังแนวโน้มจะดีขึ้นเพราะสศค. ได้นำเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการออกมาแล้วถือว่าช่วยได้ตรงจุดและสอดคล้องกับภาพเศรษฐกิจปัจจุบันทั้งกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเกษตรกรรวมทั้งธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเรื่องจำเป็นเป็นโจทย์ระยะสั้นที่ต้องเร่งแก้เพราะหากขาดความเชื่อมั่นทั้งประชาชนผู้ประกอบการธุรกิจจะห่อเหี่ยวส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ส่วนการทำงานในระยะกลางและยาวเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจอยากให้สศค. มีการดำเนินการลงไปในเศรษฐกิจเชิงพื้นที่เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เศรฐกิจฐานรากร่วมกับเครือข่ายต่างๆทั้งสำนักงานคลังจังหวัดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสินเป็นต้นโดยคำนึงถึงการแก้ปัญหาความยากจนการลดความเหลื่อมล้ำการต่อยอดสู่อุตสาหกรรมและการลงทุนในพื้นที่การเพิ่มบทบาทเอกชนในเชิงพื้นที่รวมทั้งการร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทยให้ความรู้ด้านการเงินและการบริหารจัดการเงินกับประชาชนในพื้นที่เพื่อลดปัญหาการก่อหนี้ของประชนมีส่วนช่วยลดระดับหนี้ครัวเรือนในระบบน่าจะช่วยเศรษฐกิจเข้มแข็งได้ในระยะยาว
