สนค.กางแผนส่งเสริมส่งออก4ด้าน รับมือการค้ายุคใหม่-เพิ่มโอกาสเจาะตลาดโลก

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวในการร่วมเสวนาหัวข้อ “New era of Thailand Trade & Tourism” ในงานสัมมนา Thailand Focus 2019 จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 30 สิงหาคม ตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันสงครามการค้าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าทั่วโลก รวมทั้งไทยที่เป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออก แต่ไทยมีจุดแข็ง คือ สินค้าส่งออกมีความหลากหลาย มีการกระจายสินค้าไปสู่ตลาดอื่นที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะตลาดซีแอลเอ็มวี และอินเดียที่การส่งออกมีการเติบโตสูงในหลายกลุ่มสินค้า และแม้ว่าสงครามการค้าทำให้การส่งออกสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีนลดลง แต่สินค้าไทยโดยเฉพาะสินค้าที่ทดแทนสินค้าจีนยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในตลาดสหรัฐฯ ทำให้ผลกระทบของสงครามการค้าในช่วง 7 เดือนแรกปี 2562 คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.5 ของการส่งออกทั้งหมดของไทยเท่านั้น

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์เตรียมแนวทางรับมือสงครามการค้าและส่งเสริมการส่งออก 4 ด้าน คือ ด้านที่ 1. การป้องกันไม่ให้เกิดการใช้ไทยเป็นแหล่งสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า และเฝ้าระวังและป้องกันการไหลเข้าในกลุ่มสินค้าสำคัญ ได้แก่ เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ฯ อะลูมิเนียม เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า รองเท้า และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่นๆ เครื่องจักรไฟฟ้าฯ ทองแดง และเคมีภัณฑ์ จากมาตรการภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศและผู้บริโภค ด้านที่ 2. บริหารจัดการตลาดและการส่งออก โดยมียุทธศาสตร์รักษาตลาดเดิม อาทิ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ อาทิ อาเซียน ตะวันออกกลาง และฟื้นตลาดเก่าอาทิ อิรัก ซึ่งเคยทำการค้าข้าวกับไทยมาก่อนแต่มีเหตุให้หยุดชะงักไป

ด้านที่ 3. การเจรจาการค้า ขณะนี้ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) 13 ฉบับกับ 18 ประเทศ และอยู่ระหว่างการเจรจาความตกลง “อาร์เซ็ป” (RCEP) ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้ภายในปลายปีนี้ และกระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะเปิดการเจรจากับคู่ค้าอื่นๆ ที่มีศักยภาพ อาทิ สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป ตลอดจนพิจารณาแนวทางการเข้าร่วมความตกลง “ซีพีทีพีพี” (CPTPP) ซึ่งคาดว่าจะทราบผลการศึกษาในเร็วๆ นี้ และ ด้านที่ 4. ด้านการลงทุน ที่นอกจากจะต้องส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศและการลงทุนขาเข้าเพื่อยกระดับห่วงโซ่มูลค่าและอุตสาหกรรมของไทยแล้ว ยังต้องส่งเสริมให้การลงทุนขาออกมีการนำสินค้าไทยออกไปอีกด้วย

” กระทรวงพาณิชย์ยังมีแผนเดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจใหม่ที่สร้างมูลค่าสูง โดยให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมชีวภาพครบวงจร (Bio Economy) ทั้งด้านสินค้าอาหารและไม่ใช่อาหาร ด้านเภสัชกรรม และการท่องเที่ยว เพื่อยกระดับขีดความสามารถด้านเกษตรกรรมของไทย และเพิ่มมูลค่าภาคบริการจากภาคการค้าและการส่งออกให้มากขึ้น โดยเฉพาะในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เช่น การท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้าง การขนส่งและโลจิสติกส์ การรักษาพยาบาล สุขภาพและความงาม ดิจิทัลคอนเทนต์ เป็นต้น ” นางสาวพิมพ์ชนก กล่าว

Advertisement

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่ ดังนี้ 1. การปลูกฝังกระบวนคิดเชิงดิจิทัล 2.การพัฒนาทุนมนุษย์ 3. การปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม 4. การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน และ 5. การพัฒนาอย่างครอบคลุมและทั่วถึงทุกภาคส่วน โดยภาครัฐมีหน้าที่สร้างความเข้มแข็งด้านการเชื่อมโยงในมิติต่างๆ ทั้งในด้านภูมิภาค ดิจิทัล การเงิน พลังงาน และระหว่างผู้คนด้วยกัน รวมทั้งผลักดันให้ทุกภาคส่วนตระหนักรู้ถึงประโยชน์ของเทคโนโลยี สามารถนำมาปรับใช้และปรับตัวไปสู่โลกแห่งเทคโนโลยียุคใหม่ได้ รวมทั้งภาครัฐยังต้องส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ อาทิ ความร่วมมือกับประเทศในกลุ่ม CLMVT( กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนามและไทย) หรืออาเซียน โดยร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันทั้งภาคีภายนอกภูมิภาคและประชาคมโลก เพื่อก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างมีพลวัตและยั่งยืนในทุกมิติ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image