การออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ.2562 นั้นเป็นเรื่องของ “ความไม่พร้อม” ทั้ง “บุคลากร” และ “ขั้นตอน” การปฏิบัติ
ซึ่งต้องอาศัยความพร้อมในด้านความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ ของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับกระบวนการพิจารณาคดีตามหลักการใหม่ของ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว และกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกันด้วย
กล่าวคือ ความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว หลักการดำเนินคดีนั้นแตกต่างไปจากเดิม
แค่สามีเมาสุราทำร้ายภรรยาได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ถึงกับสาหัส
หากสามีรับสารภาพ พนักงานสอบสวนจะต้องรีบสรุปสำนวนส่งอัยการเพื่อฟ้องศาลแขวงฯภายใน 48 ชั่วโมง
หรือที่เรียกว่า “ฟ้องใบแดง”!
เมื่อศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองครอบครัว สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งเกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายใหม่ ได้รับสำเนาบันทึกคำร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว
จะต้องรีบไปยื่นคำร้องต่อศาลแขวงเพื่อให้รอการพิพากษา และต้องรีบไปยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัว และนำพยานเข้าไต่สวน เพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพ เช่น สั่งห้ามสามีเข้าใกล้หรือข่มขู่คุกคามภรรยาหรือคนในครอบครัว ให้ไปบำบัดอาการติดสุรา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำความรุนแรงซ้ำต่อภรรยา
การที่กฎหมายใหม่กำหนดให้ พมจ.เป็นศูนย์ในต่างจังหวัด และให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวเป็นศูนย์ในกรุงเทพมหานคร
จึงมีข้อน่าเป็นห่วงว่า ศูนย์มีบุคลากรที่จะทำงานแข่งกับเวลาเช่นนี้เพียงพอหรือไม่?
เพราะในแต่ละจังหวัดไม่ได้เกิดความรุนแรงในครอบครัวเพียงสัปดาห์ละคดีหรือวันละคดี เมื่อรับแจ้งแล้วเจ้าหน้าที่ของศูนย์จะต้องไปรวบรวมข้อเท็จจริง เพื่อนำมายื่นคำร้องต่อศาลแขวงและศาลเยาวชนฯ
ศูนย์ฯจะทำหน้าที่ได้ตามที่กฎหมายใหม่กำหนดไว้หรือไม่?
หากทำไม่ได้ ศูนย์ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อเป็น “พระเอก” อาจกลับกลายเป็น “ผู้ร้าย” ในพริบตา!
บาปเคราะห์ก็จะตกแก่ผู้ถูกกระทำไปโดยปริยาย
และส่งผลให้หลักการคุ้มครองผู้ถูกกระทำซ้ำอย่างต่อเนื่องมาก่อนจนทนไม่ไหว กระทำการตอบโต้ไป ถูกเลื่อนการบังคับใช้ออกไปด้วย เช่นภรรยาถูกสามีเหยียดหยามทำร้ายมาตลอด
จนวันหนึ่งทนไม่ไหว จ้างมือปืนมาฆ่าสามี หรือยิงสามีขณะหลับ กรณีเช่นนี้ภรรยาไม่สามารถอ้างเหตุป้องกันตัวหรือบันดาลโทสะ เพื่อให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ได้
ทั้งๆ ที่ตนเป็นฝ่ายถูกกระทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นทนไม่ไหวจึงก่อเหตุดังกล่าว
แต่ตามกฎหมายใหม่ ภรรยาสามารถยื่นคำแถลงเพื่อประกอบการพิจารณาของศาลให้ลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
ที่สำคัญบทเฉพาะกาลยังให้อานิสงส์ไปถึงผู้ที่ถูกศาลพิพากษาจนคดีถึงที่สุดไปแล้ว ให้มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและกำหนดโทษใหม่ได้ด้วย
น่าเสียดายที่การคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรง ซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำมาก่อน “Battered Woman Syndrome” ยังไม่อาจมีผลบังคับใช้ได้
อันเนื่องมาจากการเร่งรีบให้กฎหมายมีผลใช้บังคับ โดยไม่จัดเตรียมความพร้อมของ “หน่วยงาน” และ “บุคลากร” เสียก่อน ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้เป็น “เจ้าของ” ร่างกฎหมายฉบับนี้หรือไม่?
และย่อมสะท้อนให้เห็นกระบวนการบริหารจัดการของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่อาจย่อหย่อน
ไร้ประสิทธิภาพไปด้วยหรือไม่?
ที่สำคัญจะต้องนำ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ส่วนผลจะเป็นอย่างไรต้องติดตาม !?!
ศุกร์ มังกร