ที่โรงแรมสุโกศล กรุงเทพฯ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยนอกจากมาตรการในเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจ และแพคเกจดึงดูดการลงทุนที่ออกมาแล้วนั้น ในช่วงสิ้นเดือนกันยายนนี้ กระทรวงการคลัง ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) สภาเกษตรกรแห่งชาติ กองทุนหมู่บ้าน ออกมาตรการมาช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกร ต้องการผลักดันให้ภาคเกษตรมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มมูลค่าการผลิต รวมถึงมอบให้กระทรวงอุตสหกรรมเข้ามาช่วยดูแลอุตสาหกรรมการเกษตร การบริการ และท่องเที่ยว ไปสู่อุตสาหกรรมเกษตรยุคใหม่ ใช้การวิจัยและพัฒนามาช่วย จากเดิมเน้นในอุตสาหกรรมใหญ่และอุตสาหกรรมหนัก
“เกษตรเป็นภาคสำคัญต่อเศรษฐกิจ มีคน 30-40 ล้านคน แต่มีมูลค่าต่ำมากไม่ถึง 10% ของจีดีพี ก่อนหน้านี้ ธ.ก.ส.ผลักดันสมาร์ทฟาร์เมอร์ไปแล้ว ดังนั้นให้ไปร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกร นอกเหนือจากบัตรสวัสดิการประชารัฐ สนับสนุนให้เกษตรกมีการเปลี่ยนแปลงการผลิต รวมกลุ่มก้อนเป็นวิสาหกิจ เพื่อให้ภาคเกษตรเกิดการเปลี่ยนแปลง” นายสมคิดกล่าว
เมื่อถามถึงผลโพลต่างๆ ที่หลายสำนักออกมาและระบุว่ารัฐบาลสอบตกในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ นายสมคิดกล่าวว่า ให้ไปดูรายละเอียดของผลโพลล์ว่าเป็นอย่างไร
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการมองว่า สภาพเศรษฐกิจขณะนี้ไม่เอื้อต่อการลงทุน นายสมคิดกล่าวว่า ตนไม่ใช่รองนายกฯ คุมเศรฐกิจ แต่เป็นรองนายกกำลังดูแลเพียง 4 กระทรวงเศรษฐกิจ โดยขณะนี้พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังแข็งแรง ดังนั้นคนไทยควรต้องมั่นใจในเมืองไทย ไม่ใช่ฝ่อตั้งแต่ต้น ทั้งโลกลำบาก ไม่ใช่สะดวกสบาย สิงคโปร์ถดถอยแรง ทำไมเขาไม่ตื่นตกใจ เขาพยายามต่อสู้ ไม่ใช่อะไรก็กระตุ้น ทุกคนต้องพยายามลุกขึ้นมาและสู้ ไม่ใช่มีแต่ข่าวร้าย ถ้ามีแต่ข่าวร้ายใครจะเข้ามาลงทุน อยากให้มองไทยในแง่บวกบ้าง
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการและเลขานุการ ครม.เศรษฐกิจ กล่าวว่า ในเรื่องการดูแลเศรษฐกิจนั้น อำนาจในการดูแลไม่ใช่นายสมคิดเพียงผู้เดียว เพราะขณะนี้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่ละกระทรวงเศรษฐกิจมีรองนายกฯ ดูแล ดังนั้นในการทำงานต้องอาศัยกลไกของครม.เศรษฐกิจ เพื่อปรึกษาหารือเพื่อให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งในวันที่ 12 กันยายนนี้ ครม.เศรษฐกิจจะมีการประชุม ซึ่งทางกระทรวงพาณชิย์ จะเสนอมาตรการผลักดันและดูแลการส่งออกเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม
