ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ว่า 7 พรรค ร่วมฝ่ายค้าน ต่างชื่นชมยินดีกับความสำเร็จจาก 436 เสียงอย่าง เป็นเอกฉันท์ในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 13 กันยายน
แม้เสมอเป็นเพียงการเลื่อนมาพิจารณาต่อท้ายเรื่องเร่งด่วนในลำดับที่ 6 ในสมัยประชุมหน้า
แม้เสมอเป็นเพียงญัตติเพื่อจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560
นั่นก็คือ ยังไม่ได้”เหยียบ”เข้าไปยัง “พื้นที่” หรือพรมแดนอันแท้จริงของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ อันเชื่อกันว่าแก้ไขได้ยากที่สุดในโลก
ความชื่นชมยินดีที่ปรากฏขึ้นเกิดจากอะไร
คำตอบ 1 มาจากการสะท้อนให้เห็นความรู้สึก “ร่วม” ในลักษณะอันเป็น”สมารมณ์”อย่างเป็นรูปธรรมว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มีความจำเป็นต้องแก้ไข
เวลาจากเดือนเมษายน 2560 ที่ประกาศใช้ และการปฏิบัติที่ เป็นจริงมาถึงเดือนกันยายน 2562 นับว่าเด่นชัด
เป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า การกำหนดเงื่อนไขเข้าร่วมรัฐบาลว่าจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นมาจากความต้องการและความจำเป็นอย่างแท้จริง
ขณะเดียวกัน 1 มติของ ส.ส. 436 คนที่อยู่ในที่ประชุมเมื่อวัน ที่ 13 กันยายน เท่ากับสำแดงความเป็น”ผู้แทนปวงชน”
แม้ว่าความหมายของการลงมติครั้งนี้จะสวนกับน้ำเสียงของผู้ทรงอำนาจทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ตาม
เท่ากับปฏิบัติการด้านข่าวสาร IO ที่ว่าเรื่องรัฐธรรมนูญไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนพังครืนลงในพริบตาพลัน
ในเบื้องต้น ต้องยอมรับว่าปฏิบัติการของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา เท่ากับเป็นการรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล
พรรคฝ่ายค้านสมควรขานรับท่าทีและปฏิบัติการนี้ของพรรค ประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา
เพื่อเป็นบทเรียนไปยังพรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย
ให้ตระหนักในบทบาทและความหมายของนโยบายเร่งด่วน
ว่าต้องอยู่ในกรอบเวลาอย่างไร