กางไทยใช้สิทธิเอฟทีเอ-จีเอสพี 7เดือนทะลุ 4.21 หมื่นล.ดอลล์ พณ.ชี้อาเซียน-จีนเป็นตลาดทำเงิน

นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ช่วง 7 เดือนของปี 2562 มีมูลค่า 42,129.69 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นอัตราการใช้สิทธิประโยชน์อยู่ที่ 77.33% ลดลง 1.05% โดยแบ่งเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA จำนวน 12 ฉบับ ยังไม่รวมอาเซียน-ฮ่องกงที่เพิ่งจะมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา มีมูลค่า 39,079.39 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 78.25% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้สิทธิประโยชน์ ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 49,944 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยลดลง 2.32%

ส่วนการใช้สิทธิ GSP จำนวน 4 ระบบ คือ สหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซียและเครือรัฐเอกราช และนอร์เวย์ มีมูลค่า 3,050.30 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 67.27% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้สิทธิประโยชน์รวม ซึ่งมีมูลค่า 4,534.24 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.61%

นายอดุลย์ กล่าวว่า สำหรับตลาดส่งออกที่ไทยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง FTA สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.อาเซียน มูลค่า 14,212.71 ล้านเหรียญสหรัฐ 2.จีน มูลค่า 10,740.51 ล้านเหรียญสหรัฐ 3.ออสเตรเลีย มูลค่า 4,747.98 ล้านเหรียญสหรัฐ 4.ญี่ปุ่น มูลค่า 4,470.00 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 5.อินเดีย มูลค่า 2,654.44 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนตลาดที่มีการขยายตัวของการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด คือ เปรู เพิ่ม 32.99% รองลงมา คือ นิวซีแลนด์ เพิ่ม 10.35% และจีน เพิ่ม 5.85%

ขณะที่ตลาดที่มีการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก คือ 1.ไทย-ชิลี 104.07%  2.ไทย-เปรู 98.01 % 3.อาเซียน-จีน  97.61% 4.ไทย-ญี่ปุ่น 90.68% และ 5.อาเซียน-เกาหลี 84.66% โดยสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถบรรทุก ทุเรียนสด ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ผลไม้ประเภทฝรั่ง มะม่วง และมังคุดสดหรือแห้ง และน้ำตาลจากอ้อย

Advertisement

” หากพิจารณายอดการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าช่วง 7 เดือนที่ลดลง 2.32% พบว่าเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน สาเหตุมาจากการส่งออกไปบางตลาดลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และเงินบาทแข็งค่า ทำให้การส่งออกไปยังตลาดสำคัญ คือ อาเซียน ออสเตรเลีย ชิลี เกาหลีใต้ ลดลง จึงมีการใช้สิทธิประโยชน์ลดลงตามไปด้วย และเมื่อประเมินภาพรวมการใช้สิทธิประโยชน์ช่วง 7 เดือนที่มีมูลค่า 42,129.69 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 52% ของเป้าหมายมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ เป็นเรื่องที่ท้าทายในการที่จะบรรลุเป้าหมายกรมตั้งไว้ทั้งปี2562 ที่มูลค่า 81,025 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9% แต่กรมจะเดินหน้าผลักดันให้มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าอย่างเต็มที่ต่อไป” นายอดุลย์ กล่าว

นายอดุลย์ กล่าวว่า ตลาดที่กรมคาดว่าจะผลักดันให้มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าได้เพิ่มขึ้น คือ จีน โดยไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังจีน เพื่อทดแทนสินค้าจากสหรัฐที่ถูกจีนขึ้นภาษี เพราะพบรายการสินค้าบางรายการ มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่อัตราการใช้สิทธิฯ ยังไม่สูงมากนัก เช่น อาหารปรุงแต่งอื่นๆ ใช้สิทธิเพียง 76.65% เครื่องอัดลมหรืออัดก๊าซอื่นๆ 57.88% ทับทิม แซปไฟร์และมรกต 13.70% เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณที่เป็นของเทียมอื่นๆ 2.61%

และยังมีกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมต้นน้ำที่มีศักยภาพในการส่งออก แต่ยังใช้สิทธิฯได้ไม่เต็มที่ภายใต้กรอบ FTA ได้แก่ เส้นใยโพลีเอสเทอร์ 4.04% เดนิม 54.37% และส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องจักรสำหรับวัดหรือตรวจสอบของเครื่องฉายโพรไฟล์ 36.52% เป็นต้น

นายอดุลย์กล่าวว่า สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ GSP ช่วง 7 เดือน สหรัฐยังคงมีสัดส่วนการใช้สิทธิมากที่สุด 91.79% ของมูลค่าการใช้สิทธิ GSP ทั้งหมด โดยมีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 2,799.76 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการใช้สิทธิฯ 75.96% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 3,685.97 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12.96% รองลงมา คือ สวิตเซอร์แลนด์ มีมูลค่าการใช้สิทธิอยู่ที่ 155.02 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการใช้สิทธิ 26.69% จากมูลค่าที่ได้รับสิทธิ 580.86 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.36%

โดยสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ ถุงมือยาง เครื่องดื่มอื่นๆ ชิ้นส่วนยานยนต์ และเลนส์แว่นตา

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image