“แม่ทองสุก” ชี้ทองคำอยู่ในช่วงขาขึ้น เชื่อพุ่งแตะ 23,000 บาท

นายณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ประธานฝ่ายบริหาร กลุ่มบริษัทในเครือ เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก เปิดเผยว่า ราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปี 2562 มีโอกาสปรับตัวขึ้นถึง 23,000 บาทได้ ส่วนราคาทองสปอตมีโอกาสเคลื่อนไหวแตะระดับ 1,550-1,600 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ โดยได้รับอานิสงค์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน (เทรดวอร์) ที่ยังไม่สามารถเจรจากันได้ เงินบาทอยู่ที่ระดับ 31.70 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงการที่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในระยะสั้น คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 21,300-22,000 บาท ส่วนสปอตจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,480-1,510 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ โดยในแง่การซื้อขายทองคำ ตลาดทองคำของประเทศไทยถือเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน และอันดับ 3 ของภูมิภาคเอเชีย รองจากประเทศจีน และอินเดีย สะท้อนให้เห็นถึงอุตสาหกรรมตลาดทองคำไทย ที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

“ในระยะยาวทิศทางราคาทองคำ ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งหากมีจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงมาแตะที่ 21,000 บาท ถือว่าเป็นจุดที่สามารถเข้าซื้อสะสมได้ อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อาทิ เฟดไม่ปรับลดดอกเบี้ยลงอีกครั้ง รวมถึงสหรัฐฯและจีนสามารถเจรจาการค้ากันได้ จะส่งผลให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบมากขึ้น และมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงได้ จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป โดยการที่จีนและสหรัฐฯมีการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน ทำให้ถึงแม้ซื้อทองคำของกันและกันได้ แต่ก็โดนภาษีที่ตั้งใส่กัน ทำให้ประเทศไทยจะได้รับอานิสงค์ในเรื่องนี้ ด้วยการหันมาลงทุนซื้อขายในตลาดทองคำไทยมากขึ้น ซึ่งต้องถือว่าสงครามการค้าเทรดวอร์ มีส่วนช่วยเพิ่มศักยภาพของตลาดทองคำไทย”นายณัฐพงศ์กล่าว

นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า ขณะที่ยังต้องติดตามสถานการณ์เรื่องของวิฤตเศรษฐกิจในอนาคตของฝั่งยุโรป ทั้งการถอนตัวออกจากอียูของอังกฤษ (เบร็กซิท) และปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เริ่มใช้มาตรการคิวอี เพื่อเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมเศรษฐกิจของยุโรปเริ่มอ่อนแอลง โดยอาจส่งผลเชิงลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก แต่จะช่วยหนุนราคาทองคำให้มีโอกาสกลับไปถึงจุดสูงสุดเดิมที่ 1,900 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ เหมือนช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2555 ได้

นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดค้าทองคำเซี่ยงไฮ้ (เอสจีอี) ด้วยการได้รับสิทธิในการเข้าถึงและซื้อขายสินค้ากับตลาดเอสจีอี และมีใบอนุญาต (ไลเซนต์) อย่างถูกต้อง ร่วมกับสมาชิกกว่า 110 ประเทศทั่วโลก ซึ่งได้รับอนุญาตไลเซนต์ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561 โดยการที่บริษัทได้สิทธิในการเป็นโบรกเกอร์ทองคำ ที่สามารถเข้าซื้อขายสินค้ากับตลาดเอสจีอีได้ จะทำให้บริษัทสามารถนำเข้าและส่งออกทองคำ, การทำเครื่องประดับทอง และมีบริการซื้อขายทองคำ ได้อย่างครบวงจร ทำให้คาดว่าการขยายธุรกิจในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีรายได้จากปริมาณการซื้อขายทองคำเพิ่มขึ้น 30% มูลค่ากว่า 400,000 ล้านบาท จากปี 2561 อยู่ที่ 300,000 ล้านบาท สำหรับการซื้อขายสินค้าทองคำทุกประเภทในตลาดค้าทองคำล่วงหน้า เชื่อว่าหากมีการซื้อขายจากเอสจีอีจะช่วยหนุนให้ภาพรวมการซื้อขายในตลาด หากคิดตามมูลค่าที่แท้จริงจะอยู่ที่ระดับ 100 ตันต่อเดือน จากเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 50-60 ตันต่อเดือนได้

Advertisement

เกาะกระแสเศรษฐกิจ กับ Line@มติชนเศรษฐกิจใกล้ตัว

เพิ่มเพื่อน

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image