เมื่อกฎ(หมาย)ขายได้ ตลาดแข่งขันของการคอร์รัปชั่นในสังคมไทย โดย ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ปัญหาการคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาสำคัญของทั้งโลก โดยทั่วไปการวัดระดับการคอร์รัปชั่นของแต่ละประเทศจะใช้ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (Corruption Perception Index) ที่จัดทำโดยองค์กรความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ซึ่งในปี 2562 ค่าคะแนนของประเทศไทยมีคะแนนอยู่ที่ 36 จาก 100 และจัดอยู่อันดับที่ 99 จาก 180 ประเทศในช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาคะแนนประเมินของไทยแทบจะคงที่มาโดยตลอด โดยมีค่าอยู่ที่ประมาณ 30 ถึง 40 คะแนนเท่านั้น เท่ากับว่าระดับการคอร์รัปชั่น ของไทยแทบจะไม่ดีขึ้นเลย แต่งบประมาณที่ใช้ในการปราบปรามคอร์รัปชั่นกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งตัวเงิน จำนวนคน และเวลาที่ทุ่มเทลงไป

นี่ยังไม่รวมถึงกฎระเบียบที่ออกมามากมาย จนทำให้การทำงานของหน่วยงานภาครัฐยุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ดี แม้ว่าค่าคะแนนภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นจะไม่ได้ดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้แย่ลงเช่นกัน ทั้งที่งบประมาณของภาครัฐสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งก็อาจจะเคลมได้ว่าความพยายามในการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชั่นของภาครัฐและสังคมตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา พอจะมีความสำเร็จให้เห็นอยู่บ้างเหมือนกัน

งานวิจัยที่ศึกษาเรื่องคอร์รัปชั่นที่ผ่านมาจำนวนมากในสังคมไทย มักจะเน้นไปที่ความถูกผิดที่อิงอยู่กับกฎหมาย และความดีเลวที่อิงกับศีลธรรมหรือศาสนา ขณะที่งานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์กลับมีจำนวนไม่มากนัก จุดแข็งของกรอบคิดทางเศรษฐศาสตร์ก็คือการทำความเข้าใจว่าการคอร์รัปชั่นเป็นบริการประเภทหนึ่ง (Service Sector) ในสาขาการผลิตอื่นๆ ที่หลากหลายในระบบเศรษฐกิจ โดยการคอร์รัปชั่นเป็นภาคบริการที่เป็นตัวกลาง (Middleman) ของการติดต่อระหว่างภาครัฐกับเอกชนหรือประชาชน และทำกำไรจากการซื้อขายกฎหมาย กฎระเบียบ และสิทธิประโยชน์บางประเภทของรัฐ ลดต้นทุนธุรกรรมการติดต่อกับภาครัฐ หรืออำนวยความสะดวกสบายในการประสานงานกับภาครัฐ

Advertisement

หลายครั้งตัวกลางเหล่านี้ก็เป็นตัวแทน (Broker) ซื้อขายกฎหมาย กฎระเบียบ และสิทธิประโยชน์ของภาครัฐเสียเองอีกด้วย หากมองการคอร์รัปชั่นเป็นบริการประเภทหนึ่งจะเห็นได้ว่าบริการประเภทนี้มีมูลค่าตลาดสูงมากในประเทศไทย

นอกจากนี้ยังเป็นสาขาการผลิตที่มีค่าตัวทวี (Multiplier) สูงมากด้วย (หากแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นได้ จะก่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจมหาศาล) และเป็นสาขาการผลิตที่ช่วยให้เกิดผลทางบวกที่เห็นได้ชัดในบางระดับ กล่าวคือ ช่วยให้เกิดการทำงานของภาครัฐที่รวดเร็วขึ้น (กับเอกชนบางกลุ่ม) แต่ก็มีผล
กระทบทางลบในระยะยาวที่มองเห็นได้ยาก เช่น ประสิทธิภาพที่ลดลง แรงจูงใจที่ผิดเพี้ยน และความเหลื่อมล้ำ เป็นต้น

ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกผลกระทบเหล่านี้ว่า เกิด Asymmetric Information Problem ใน Secondary Effect ซึ่งทำให้สร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาทำได้ยากเนื่องด้วยกฎหมาย กฎระเบียบและสิทธิประโยชน์ของภาครัฐมีราคา ทำให้ตลาดคอร์รัปชั่นในการซื้อขายกฎหมาย กฎระเบียบและสิทธิประโยชน์เหล่านี้ก็ย่อมมีมูลค่าสูงมากตามไปด้วย ตลาดประเภทนี้จึงดึงดูดให้เกิดการแข่งขันที่มีผู้ผลิตจำนวนมาก เช่น บริษัทรับจัดการภาษี บริษัทเดินเอกสารชิปปิ้ง ตัวแทนวิ่งเต้นคดีความ หรือแม้แต่ล็อบบี้ยิสต์

Advertisement

จากงานวิจัยพบว่าธุรกิจแต่ละแห่ง หรือประชาชนแต่ละคนสามารถหาคนวิ่งเต้นเพื่อแก้ปัญหาการติดต่อกับภาครัฐได้มากกว่า 1 รายเสมอ และธุรกิจที่มีอยู่ในตลาดคอร์รัปชั่นแต่ละประเภทนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก หรือจำนวนไม่มากแต่มีเครือข่ายที่เข้าถึงได้ง่าย ผ่านความสัมพันธ์ส่วนบุคคลแบบไทยๆ งานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นถึงตลาดแข่งขันของการคอร์รัปชั่นเพื่อซื้อขายกฎหมาย กฎระเบียบและสิทธิประโยชน์ของภาครัฐในประเด็นสำคัญ 2 ประการ

ประการแรก ตลาดของการคอร์รัปชั่นมีพัฒนาการในตัวเอง ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ งานวิจัยใช้ข้อมูลดิบจากการสำรวจประสบการณ์การคอร์รัปชั่นในประเทศไทยที่เทียบเคียงกันได้สนิท จำนวน 3 ชิ้น ในปี 2542 2557 และ 2562 ประกอบกับการวิเคราะห์เชิงเอกสารจำนวนมาก เพื่อชี้ให้เห็นว่าตลาดคอร์รัปชั่นของประเทศไทยมีพัฒนาการอยู่ในระดับสูง มีการเพิ่มและลดประเภทของการคอร์รัปชั่น มีการปรับตัวที่รวดเร็ว และมีการผนวกเอาทุนนิยมสมัยใหม่เข้าไปอย่างกลมกลืน

ประการที่สอง ตลาดคอร์รัปชั่นของประเทศไทยอยู่ในดุลยภาพในระบบปิด กล่าวคือ เป็นระบบที่มีการจัดสรรผลประโยชน์อย่างลงตัวในกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้ออกกฎหมาย ผู้มีอำนาจ และเจ้าหน้าที่ภาครัฐ เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกลงโทษ และเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจภายในกลุ่มให้สูงที่สุด โดยการที่อยู่ในระบบปิดนี้เองจึงทำให้ตลาดคอร์รัปชั่นทำกำไรได้สูง มีประสิทธิภาพและปรับตัวได้ง่าย ในขณะที่ประชาชนและผู้เสียประโยชน์กลับถูกกีดกันออกไปจากตลาด และทำหน้าที่ได้แค่แจ้งเบาะแส เพื่อรอผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการแทน ซึ่งก็มักไม่เป็นผล (Moral Hazard) นี่เป็นสาเหตุให้ค่าคะแนนภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นของไทยแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงมาตลอด 20 ปี และไม่เคยถูก disrupt เลย ไม่ว่าเทคโนโลยีในโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร เพราะไม่มี crowdsourcing ของประชาชนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในตลาดคอร์รัปชั่น
นั่นเอง

ตลาดคอร์รัปชั่นจึงควรต้องรวมเอาประชาชนและกลุ่มที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในสังคมเข้ามาทำงานด้วยกัน

ผู้เขียนขอเชิญชวนเข้ารับฟังการนำเสนอผลงานวิจัยฉบับเต็มเรื่อง “เมื่อกฎ(หมาย)ขายได้ ตลาดแข่งขันของการคอร์รัปชั่นในสังคมไทย” ได้ในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2562 ของธนาคารแห่งประเทศไทย ในหัวข้อ “พลิกโฉมเศรษฐกิจ พิชิตการแข่งขัน” ระหว่างวันที่ 30 กันยายน-1 ตุลาคม 2562 ณ โรงแรม Centara Grand at Central World (รายละเอียดที่ www.bot.or.th/BOTSymposium2019)

หมายเหตุ – บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคลซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image