นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (เคแบงก์) เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าเงินบาทในช่วงสิ้นปี 2562 ประเมินว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในโซนแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าไม่น่าจะหลุดต่ำกว่า 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และน่าจะมีความเป็นไปได้ยากมากที่จะอ่อนค่าลงต่ำกว่าระดับ 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยธนาคารกสิกรไทยยังคงมีเป้าหมายค่าเงินบาทที่ระดับ 30.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยมองว่าการใช้นโยบายทางการเงิน ในการเข้ามาช่วยทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง เริ่มมีข้อจำกัดและเริ่มใช้ไม่ได้ผลในปัจจุบัน เห็นได้จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา มีส่วนช่วยทำให้เงินบาทปรับอ่อนค่าได้แค่ระยะสั้นๆ เท่านั้น แล้วก็กลับมาอยู่ในโซนแข็งค่าเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าภายในปี 2563 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้ง
“การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะประเทศไทยยังคงมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดกว่า 1.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงยังมีเงินทุนต่างชาติจำนวนมากอยู่ในระบบมาก โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรรัฐบาลที่มีการโยกเงินจากพันธบัตรระยะสั้นมาไว้ในพันธบัตรระยะยาวแทน ส่งผลทำให้เงินต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในตลาดทุนไทย หนุนให้เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง สำหรับการบริโภคในประเทศ เชื่อว่าจะเห็นการเติบโตขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เพราะได้รับอานิสงส์จากมาตรการชิม ช้อป ใช้ ที่จะมีส่วนช่วยการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้นในประเทศ ทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีให้ฟื้นตัวขึ้น รวมถึงช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นๆ ได้” นายกอบสิทธิ์กล่าว
นายกอบสิทธิ์กล่าวว่า ในช่วงสิ้นเดือนกันยายนนี้ ธนาคารจะมีการทบทวนตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าจะโตได้ในกรอบ 2.7-2.9% เพราะต้องยอมรับว่าตัวเลขประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) เดิมคาดว่าจะเติบโตได้ที่ 3.1% คงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน (เทรดวอร์) ที่ยังมีความยืดเยื้อ และส่งผลกดดันภาคการส่งออกของไทยให้เติบโตชะลอตัวลงอย่างมาก โดยการส่งออกไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปีติดลบไปแล้วถึง 2% ธนาคารจึงปรับลดมุมมองการส่งออกของไทยในปีนี้ว่าจะหดตัวลงเพิ่ม จากเดิมที่คาดว่าจะทรงตัว หรือมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 0%
นายกอบสิทธิ์กล่าวว่า ประกอบกับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกของไทยลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากส่วนแบ่งตลาดส่งออกของไทยในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงเหลือ 1.38% จากเดิม 2% ขณะที่เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 1.5% แซงหน้าประเทศไทย ทำให้ภาคการส่งออกไทยต้องเผชิญกับความท้าทาย ประกอบกับเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกด้วย ในขณะที่การลงทุนในช่วงที่ผ่านมา มีความผันผวนมากขึ้นและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงนั้น เชื่อว่าจะเห็นการมองหาการลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงมากขึ้นในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ซึ่งการลงทุนในหุ้นที่ให้เงินปันผลที่ดี ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่จะเห็นนักลงทุนเริ่มมองหามากขึ้นเพื่อเข้ามาทดแทนการลงทุนในตลาดพันธบัตร
นายกอบสิทธิ์กล่าวว่า ถึงแม้ว่าภาคการบริโภคจะดีขึ้นจากมาตรการของรัฐที่ออกมา ก็เป็นเพียงการประคับประคองมากกว่า เนื่องจากหลักๆ แล้วปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจไทย เป็นเรื่องของภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยว ทำให้ต้องพิจารณาขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่องทางอื่นที่อาจจะมองข้ามไป อาทิ การบริโภคภายในประเทศ รวมถึงพิจารณาผ่อนคลายนโยบายทางการคลังแทนการใช้มาตรการการเงิน ที่ค่อนข้างจะขยับได้ยากแล้ว อาทิ มาตรการด้านภาษีหลายๆ ตัวที่สามารถช่วยเพิ่มกำลังซื้อในประเทศได้ อย่างช้อปช่วยชาติ เพราะปัจจัยต่างประเทศโดยเฉพาะกรณีของสงครามการค้ายังยืดเยื้อและมีความไม่แน่นอนสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง ทำให้การพึ่งพารายได้หลักจาก 2 ทางหลัก อาจจะไม่ตอบโจทย์ในภาวะปัจจุบันและเสี่ยงเกินไป
เกาะกระแสเศรษฐกิจ กับ Line@มติชนเศรษฐกิจใกล้ตัว