กัญชา ถูกกฎหมายบังคับใช้มา 40 ปีถูกปลดล็อก : โดย สันติพงษ์ นิมิตรดี
กัญชาและกระท่อมมีใช้ในการกฎหมายตั้งแต่ปี 2519 มูลเหตุเกิดจาก นายทนง ศิริปรีชาพงษ์ อดีต ส.ส.ภาคอีสาน ได้ค้ากัญชาแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งอเมริกาไม่ยอม เห็นได้จากการเกิดสงครามการค้ากับจีนในปัจจุบัน ทำให้สหรัฐอเมริกายื่นฟ้อง ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ไม่ได้ตัวจำเลยมาที่ศาล ทำให้สหรัฐอเมริกายื่นคำร้องต่อไทยให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน เป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.2965/2538 ให้ไทยส่งจำเลยไปที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัฐประหารโดยคณะปฏิรูป มีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้ออกกฎหมายพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ซึ่งกฎหมายกัญชามีโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 15 ปี บังคับใช้เมื่อปี 2519 ปัจจุบันมีการแก้กฎหมายให้ปลดล็อกแล้ว ซึ่งกัญชามีประโยชน์ในการรักษาโรคได้ 16 โรค เช่น รักษาริดสีดวงทวารหนัก
ในปี 2557 ระหว่างเกิดรัฐประหารในชุดรัฐบาล คสช. มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนายบิลลี่ หรือนายพอละจี รักจงเจริญ ได้หายสาบสูญแล้ว และปัจจุบันได้พบเหตุการสาบสูญไปแล้ว ต้องใช้เวลา 5 ปีเศษ อาจเป็นเพราะในยุคประชาธิปไตยหรือเพราะจิตวิญญาณของปู่คออี้ ปู่ของนายบิลลี่ ซึ่งจากไปในวัย 107 ปี บันดาลให้พบศพของนายบิลลี่ในปัจจุบัน
ในปี 2557 ในสมัยยุครัฐประหาร หรือ คสช.โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ออกประมวลกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายอาญา โดยแก้ไขเพิ่มเติมให้แก้กฎหมายเปลี่ยนจากผู้ใช้สิทธิทางศาลต่อสู้คดีได้ในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา แต่ภายหลังมีการแก้ไขกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา เมื่อปี 2558 ให้คดีทั้งแพ่งและอาญา ให้เป็นอำนาจของศาลฎีกาได้อย่างเดียว ซึ่งเป็นการรวมอำนาจไว้ที่ศาลฎีกา จึงไม่ชอบด้วยเจตนาของกฎหมาย เพราะการใช้ดุลพินิจของศาลในกรอบของกฎหมายเป็นเรื่องของต่างจิต-ต่างใจไม่ใช่สูตรคณิตศาสตร์
ดังนั้น ทั้งกฎหมายพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเกิดขึ้นในสมัยยุครัฐประหาร และนายบิลลี่ได้หายสาบสูญไปในสมัยยุครัฐประหารและกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญามีการแก้ไขเพิ่มเติมในยุครัฐประหาร ซึ่งกระทบต่อสิทธิของประชาชนทั่วไป และในปัจจุบันเป็นยุคของประชาธิปไตย ควรจะยกเลิก หรือแก้ไขกฎหมายดังกล่าวได้แล้ว โดยผู้มีอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับกฎหมาย
สันติพงษ์ นิมิตรดี
