โตโยต้า อัลติส ใหม่ ไฮบริดต่ำกว่าล้าน ถูกใจ สายประหยัด : โดย อาร์ม สามย่าน

หลังเปิดตัวไปตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา สำหรับ โตโยต้า โคโรลลา อัสติส ใหม่ (Toyota Corolla Altis Hybrid High) “ยานยนต์มติชน” เพิ่งมีโอกาสไปทดลองขับขี่ เส้นทางกรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา มีปลายทางที่พัทยา รวมระยะทางเกือบ 300 กิโลเมตร ก่อนขับขี่ขอพาผู้อ่านไปรู้จักความเปลี่ยนแปลงในเวอร์ชั่นนี้

สำหรับ All New Corolla นี้ นับเป็น Generation ที่ 12 มีให้คนไทยเลือกซื้อถึง 6 รุ่นย่อย 3 รุ่นแรกเป็นเครื่องยนต์เบนซิน คือรุ่น 1.6 J LIMO 829,000 บาท รุ่น 1.6 G CVT 869,000 บาท 1.8 GR Sport CVT 999,000 บาท

และอีกสามรุ่นเป็นเครื่องยนต์ไฮบริดประกอบด้วยรุ่น 1.8 Hybrid Entry 939,000 บาท 1.8 Hybrid MID 989,000 บาท และ 1.8 Hybrid High 1,099,000 บาท

Advertisement

รูปร่างภาพลักษณ์ภายนอก ไม่ได้เรียกเสียงฮือฮามากนัก จัดอยู่ในระดับกลางเมื่อเทียบกับ segment เดียวกัน ดีไซน์ค่อนข้างจะเอาใจคนส่วนใหญ่ ไม่หวือหวา แต่ดูดีและหรูหรากว่าเดิม ไฟหน้า LED Projector เปิด-ปิด อัตโนมัติ ไฟท้าย LED Rear Lamps ความสูงจากส่วนต่ำสุดใต้ท้องรถถึงพื้น 155 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 43 ลิตร ส่วนในรุ่นเบนซินความจุถังน้ำมันจะมี 50 ลิตร

ภายในห้องโดยสารจะได้เบาะคู่หน้าแบบปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง มีปุ่มดันหลัง ตัวเบาะให้ความรู้สึกนุ่มกำลังดี กระชับ ที่นั่งด้านหลังมีช่องปรับอากาศ มีม่านบังแดดที่กระจกหลังมาให้ด้วย พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง ให้มามากถึง 470 ลิตร แผงควบคุมด้านหน้ารถ ใช้วัสดุที่ค่อนข้างดี การจัดวางปุ่มควบคุมต่างๆ ดูง่าย จอด้านหน้าเป็น Touch Screen ขนาด 8 นิ้ว เมนูอ่านง่ายๆ แผนที่นำทาง จอมอนิเตอร์พลังงาน กล้องถอยหลังก็ดูง่าย แต่ยังไม่มีกล้องแบบ 360 องศามาให้ รองรับ Bluetooth USB และ Apple Car Play พร้อมลำโพง 6 ตัว คุณภาพเสียงอยู่ในระดับดี มีแท่นชาร์จไฟแบบไร้สาย ระบบหน่วงแรงเบรกอัตโนมัติ และ ระบบเบรกมือไฟฟ้า

แผงมาตรวัด ด้านขวามีทั้งเข็มวัดเชื้อเพลิงและความร้อนเครื่องยนต์ ด้านซ้ายเป็นมาตรวัดสำหรับการชาร์จและส่งพลังระบบไฮบริด ตรงกลางเป็นจอสีขนาด 7 นิ้ว บอกรายละเอียดความเร็ว การกินน้ำมัน ฟังก์ชั่นต่างๆ สวยงามทีเดียว สำหรับรุ่น Hybrid ตัวท็อปเท่านั้น ยังจะได้ จอ Head Up Display (HUD) ซึ่งฉายข้อมูลขึ้นบนกระจกหน้าโดยตรง บอกความเร็ว และรอบเครื่องยนต์ มองเห็นได้ชัด

Advertisement

เครื่องยนต์มีทั้งหมด 3 แบบ คือ 1.6 ลิตร กำลังสูงสุด 125 แรงม้า ที่ 6,050 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 156 นิวตันเมตร ที่ 5,200 รอบ/นาที เครื่อง 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 140 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i มี Paddle Shift มาให้เฉพาะรุ่น GR Sport ทั้ง 2 เครื่องยนต์รองรับน้ำมัน E85 ส่วนรุ่น Hybrid เป็นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor แรงดันไฟฟ้า 600 โวลต์ มีกำลังสูงสุด 72 แรงม้า แรงบิด 163 นิวตันเมตร เมื่อรวมกำลังจากทั้งเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าให้ กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ส่วนแบตเตอรี่ของรถนำมาไว้ใต้เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลัง ลดอาการแรงเหวี่ยงสะสม ช่วยสร้างความสมดุลของรถให้ดียิ่งขึ้น

ทั้งหมดมาผสมเข้ากับโครงสร้างแพลตฟอร์ม TNGA (Toyota New Global Architecture) ที่เคยแผลงฤทธิ์มาแล้วใน Toyota CHR และ Camry ตัวล่าสุด ช่วยทำจุดศูนย์ถ่วงให้ดียิ่งขึ้น ใช้ช่วงล่างด้านหน้า เป็นแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลงในทุกรุ่นย่อย ด้านหลังเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ ช่วยให้การขับขี่ การทรงตัวดีขึ้น รุ่น Hybrid High ได้ล้อขนาด 17 นิ้ว ใช้ยางขนาด 225/45R17

ระบบความปลอดภัยจัดเต็มตั้งแต่ กล้องมองภาพขณะถอยหลัง (Back Guide Monitor) ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill-start Assist Control) ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor) สัญญาณเตือนกะระยะท้ายรถ (Back Sonar) ระบบแจ้งเตือนเมื่อลมยางผิดปกติ (Tire Pressure Monitoring System) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control System) ระบบควบคุมการทรงตัว (Vehicle Stability Control) ระบบป้องกันล้อล็อก ระบบกระจายแรงเบรก ระบบเสริมแรงเบรก และถุงลมเสริมความปลอดภัยระบบ SRS 7 ตำแหน่ง

การทดสอบ เริ่มต้นที่สนามทดสอบ Toyota Driving Experience (TDEX) บางนา ดูระบบเบื้องต้นของรถ ระบบช่วยเหลือการขับขี่ การทำงานของเรดาร์ครูสคอนโทรล ก่อนจะวิ่งบนถนนจริง ผ่านมอเตอร์เวย์ไปทางจังหวัดฉะเชิงเทรา แล้วอ้อมไปจนถึงอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ผ่านสภาพถนนหลากหลาย ความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อยู่ที่ประมาณ 11 วินาที อาจน้อยกว่านี้หรือมากกว่านี้ อยู่ที่ปริมาณแบตเตอรี่ด้วย ส่วนความเร็วสูงสุดล็อกไว้ที่ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เรื่องความประหยัด มีทั้งขับช้าและใช้ความเร็วสูง ก็ยังได้อัตราตัวเลขที่ 19 กิโลเมตรต่อลิตร กลับจากพัทยาถึงกรุงเทพฯ ใช้ความเร็วปกติ มีรถติดบ้าง ได้ตัวเลขที่ 22 กิโลเมตรต่อลิตร จัดว่าเป็นรถที่ทำอัตราการประหยัดน้ำมันดี

พวงมาลัยเบาขึ้นกว่ารุ่นเดิม แต่มีความคม ช่วงล่างพอจะรับมือกับถนนแย่ๆ ได้ ส่วนสำหรับคนที่มีความเป็นห่วงเรื่องระบบไฮบริดนั้น โตโยต้ารับประกันตัวระบบ 5 ปี รับประกันแบตเตอรี่นาน 10 ปี และราคาแบตเตอรี่ก็ปรับราคาถูกลงมาก

นับเป็นรุ่นแรกในรถระดับเดียวกัน ที่เป็นเครื่องยนต์ไฮบริด ขายในราคาต่ำกว่า 1 ล้าน หรือในกรณีของรุ่น Top สุด ก็มีราคาแพงกว่าตัวท็อปรุ่นเก่าเพียง 6,000 บาทเท่านั้น โดยอัด options และอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ดีกว่ามาอีกเพียบ ที่เป็นอย่างนี้ได้เพราะมาตรการทางภาษีนั่นเอง

อาร์ม สามย่าน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image