โบรกฯคาดเงินทุนต่างชาติยังสะดุด แม้กนง.หั่นดอกเบี้ยลง

นายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ ถือว่าดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นมาในระดับที่สูงมากแล้ว โดยบล.เอเซียพลัส ได้ให้เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยที่ระดับ 1,655 จุด ซึ่งหุ้นไทยในขณะนี้ ก็เคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ให้ไว้แล้ว โดยคาดว่าในช่วงที่เหลือของปี 2562 แรงสนับสนุนจากเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ที่ค่อนข้างสะดุด จนชะลอการไหลเข้ามาในตลาดทุนไทย จะทำให้ดัชนีน่าจะไต่ขึ้นได้ในกรอบจำกัด แต่ยังเชื่อว่าการปรับลดของดัชนีก็จะลงไม่มาก เพราะยังมีแรงสนับสนุนจากหลายๆ ปัจจัยระหว่างทางเข้ามาช่วยหนุนให้ยืนเหนือ 1,600 จุดได้

นายภราดรกล่าวว่า การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% อยู่ที่ระดับ 1.25% ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำสุดในประวัติการณ์ เพราะเป็นระดับเดียวกันกับปี 2540 ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งขึ้น โดยมี 2 เรื่องที่กนง.ทำคือ 1.การลดดอกเบี้ย ที่ถือเป็นการปรับลดครั้งที่ 2 ของปี 2562 รวมถึงออก 4 มาตรการเพื่อลดการแข็งค่าของค่าเงินบาท ได้แก่ 1.ยกเว้นการนำเงินรายได้จากการส่งออกกลับประเทศ 2.เปิดเสรีให้นักลงทุนรายย่อยไปลงทุนต่างประเทศ 3.เปิดเสรีการโอนเงินออกนอกประเทศได้ทุกวัตถุประสงค์ และ 4.อนุญาติให้ผู้ค้าทองคำชำระราคาในรูปแบบเงินตราต่างประเทศได้

“การออกมาตรการชะลอการแข็งค่าของค่าเงินบาท และแนวโน้มที่มีการลดดอกเบี้ย เป็นเพราะมีการประเมินกันถึงภาวะเศรษฐกิจ ที่มีการเติบโตชะลอตัว ทำให้ต้องออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และดูแลค่าเงินบาทมากขึ้น โดยมองว่าการลดออกเบี้ยและออก 4 มาตรการมา อาจทำให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงได้บ้าง รวมถึงประเมินว่า การปรับลดดอกเบี้ยของกนง.ครั้งนี้ ได้ตัดส่วนของการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจออกไป ทำให้คาดว่าต่อไปจะเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับปัจจุบัน จนถึงต้นปี 2563”นายภราดรกล่าว

นายภราดรกล่าวว่า การที่กนง.ลดอกเบี้ยจะทำให้ต่างชาติคำนึงถึงภาวะการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น ทำให้การไหลเข้ามาของฟันด์โฟล์จะเป็นไปได้ลำบาก ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเห็นว่าดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นมากว่า 60 จุด ซึ่งถือว่าขึ้นมาเร็วและแรงมาก โดยแรงซื้อหลักมาจากนักลงทุนสถาบัน ที่ซื้อกว่า 2 หมื่นล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างชาติยังมีสถานะขายสุทธิ สะท้อนให้เห็นว่าในช่วงสุดท้ายของปี 2562 แรงผลักดันหุ้นในขณะนี้ น่าจะมาจากการซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) เป็นหลัก ไม่ได้มาจากแรงซื้อของต่างชาติแล้ว โดยจากสถิติในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา เดือนพฤศจิกายน – ธันวาคมของทุกปี จะมีแรงซื้อแอลทีเอฟกระจุกตัวกว่า 31,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 52% ของภาพรวมตลาด

Advertisement

นายภราดรกล่าวว่า รวมถึงปกติแล้ว ในช่วงเดือนธันวาคม ภาพรวมการซื้อขายหุ้นจะมีปริมาณการซื้อขายน้อย เพราะเป็นช่วงวันหยุดยาว และเป็นช่วงการเดินทางท่องเที่ยว อีกทั้งไม่ใช่แค่คนไทยที่หยุดเท่านั้น แต่ต่างชาติก็หยุดยาวมาก อาจเริ่มตั้งแต่วันคริสต์มาสเป็นต้นไป จึงมองว่าฟันด์โฟลว์น่าจะสะดุดอยู่ และไม่ไหลเข้ามาง่ายๆ ในส่วนของหุ้นที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาลง เป็นหุ้นกลุ่มที่มีปันผลสูง และหุ้นอสังหาริมทรัพย์ เพราะดอกเบี้ยขาลง ทำให้การผ่อนจ่ายอสังหาฯลดลง รวมถึงรัฐบาลยังมีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯออกมา ที่ถือว่ามาตรการมาได้ถูกที่ถูกจังหวะ ทำให้ราคาหุ้นอสังหาฯน่าจะกลับมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ได้ เพราะปรับลดลงมาเยอะมากตั้งแต่ต้นปี 2562 ทำให้เกิดความผ่อนคลายในตลาดมากขึ้น แม้จะมีแรงกดดันจากมาตรการคุ้มเข้มสินเชื่อต่อหลักประกัน (แอลทีวี) แต่ก็สะท้อนไปในราคาหุ้นมากแล้ว จึงเชื่อว่าในระยะสั้นจะกลับมาตอบสนองได้ดี

เกาะกระแสเศรษฐกิจ กับ Line@มติชนเศรษฐกิจใกล้ตัว

Advertisement

เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image