พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต วัตรอันงดงามของอริยสงฆ์ ตอน : กำหนดรู้วาระจิตหลวงตา 3 รูป โดย ดร.นพ.วิชัย เทียนถาวร

ครั้งหนึ่งเมื่อท่านพักอยู่บนภูเขากับพวกมูเซอร์ในจังหวัดเชียงใหม่ มีพระหลวงตา (หมายถึงผู้มีครอบครัวแล้วถึงบวช) 3 องค์ ได้พยายามติดตามถามข่าวพระอาจารย์มั่นอยู่ถึง 3 ปี จึงได้ข่าวว่าอยู่บนภูเขากับพวกมูเซอร์
จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อรู้ชัดแน่แล้วจึงรีบไปเพื่อที่จะได้พบท่าน ทั้ง 3 หลวงตาก็เดินทางปีนป่ายขึ้นภูเขาด้วยความตั้งใจจริง ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากแต่ประการใด เพราะตั้งใจมานานแล้ว พึ่งจะใกล้ความสำเร็จ ซึ่งทั้ง 3 หลวงตาคงจะเข้าใจว่า เมื่อพบท่านแล้วคงจะได้ธรรมแสงสว่างไม่ยากนัก จึงได้อุตส่าห์ติดตามเป็นเวลานาน ก็พอดีเป็นเวลาเย็นประมาณบ่าย 5 โมง จึงได้ถึงสถานที่พระอาจารย์มั่นอยู่ เมื่อถึงแล้วก็เข้าไปนมัสการท่าน ท่านกำลังฉันน้ำร้อนอยู่ มีพระเณรอยู่ด้วย 2-3 องค์ คอยปรนนิบัติอยู่

เมื่อหลวงตาทั้ง 3 กราบแล้ว ท่านก็ถามว่า เธอตามหาเรามานานแล้ว วันนี้มาจากไหน สามหลวงตาก็งงเป็นที่สุดว่า ท่านรู้ได้อย่างไร และก็ตอบพร้อมกันว่า…วันนี้มาจากอำเภอสันทราย แล้วท่านก็ให้พระไปจัดสถานที่อยู่ให้ตามพึงจะมี จำเดินแต่นั้นหลวงตาทั้งสามก็พยายามปฏิบัติตามโอวาทของท่านอยู่อย่างเต็มความสามารถ ทั้งสามหลวงตาเล่าว่า ไม่ว่าพวกฉันจะนึกอย่างฟังธรรมข้อใด ท่านจะต้องเทศน์ธรรมข้อนั้นให้ฟังโดยไม่ต้องออกปากถามเลย ฉันอัศจรรย์ใจจริง แต่…อยู่มาวันหนึ่ง ฉันทั้งสามได้ไปนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่งามมาก หลังหินเสมอเรียบดี พวกเราก็นั่งประชุมสนทนากัน ก็พูดถึงเรื่องทางบ้านว่า ป่านนี้ภรรยาของเราอยู่กันอย่างไรหนอ ลูกของฉันมี 4 คน ลูกหญิงสาวยังไม่ได้แต่งงานเลย อีกองค์ก็พูดว่า ภรรยาน่ากลัวจะไปมีผัวใหม่ อาจจะทิ้งลูกเสียได้และก็พูดกันหลายอย่าง เป็นเวลากว่าชั่วโมง ทุกองค์ก็ต่างกลับมา แต่ก็มิได้อาลัยในคำพูดเหล่านั้นดอก พูดแล้วก็แล้วกันไป

แต่ที่ไหนได้ พระอาจารย์มั่นได้รู้เรื่องราวของเราหมด และในวันนั้นก็ได้มีพระภิกษุสามเณรทุกแห่งที่อยู่แถวใกล้ๆ นั้นมาประชุมกันหมด ท่านยกเอาเรื่องทั้งสามหลวงตาขึ้นมาพูดในท่ามกลางบริษัทว่า “ดูสิทั้งสามหลวงตานี่ อุตส่าห์มาอยู่ป่าบวชแล้วยังคิดถึงมาตุคามลูกเมีย มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะมาอยู่ในกลางป่าเช่นนี้ ซึ่งไม่ควรเลย น่าอับอายท่านผู้รู้ นี่แน่ะหลวงตา เธอเป็นพระกี่เปอร์เซ็นต์” เท่านั้นเอง พวกเราทั้งสามอายเพื่อนอย่างหนัก นั่งก้มหน้า เมื่อเลิกประชุมแล้ว พวกเราทั้งสามก็ร้อนไปหมด จึงเป็นอันว่าพวกเราอยู่ไม่ไหว คืนนั้นประมาณเที่ยงคืน พวกเราก็เก็บบาตร กลด หนีกันทั้งคืน ปากก็พูดว่า อรหังๆๆ ทั้งเดินหนีไป มิได้อำลาท่านเลย โดยมิได้คำนึงว่า ทางที่เดินมานั้น มีทั้งหมี ทั้งเสือ ทั่วไป แต่พวกเรากลัวพระอาจารย์มั่นมากกว่า
เสืออีก

ตอน : ธุดงค์ไป ณ ถ้ำผาบิ้ง จ.เลย พ.ศ.2461 : หลังจากอยู่ปฏิบัติและถวายความรู้ในธรรมปฏิบัติอันยิ่งแก่อาจารย์ของท่านแล้ว ท่านเห็นหมู่คณะตามท่านมามาก รู้สึกกังวลขึ้น ท่านจึงปลีกตัวออกจากหมู่ เดินธุดงค์ไปแต่องค์เดียว จนบรรลุถึงถ้ำผาบิ้ง จังหวัดเลย ในปีนี้ท่านต้องการพิจารณาถึงความจริงทั้งหลายอันเกิดแก่การบำเพ็ญในตนของท่าน และต้องการวัดผลการปฏิบัติที่ท่านได้แนะนำสั่งสอนแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ว่า ผลต่างๆ ของการปฏิบัตินั้นได้เป็นไปตามความมุ่งหมายมาแต่เดิมหรือไม่ และเป็นผลที่ถูกต้อง ทำนองคลองธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์จริงหรือ ในเมื่อได้ ใคร่ครวญทั้งความนึกคิดอันเป็นภายนอกและพิจารณาตามญาณอันเป็นภายใน ท่านก็พอใจผลงานเหล่านั้นว่าเป็นประโยชน์มาก สมควรที่จะยอมเสียสละในการแนะนำสั่งสอนพุทธบริษัทต่อไป

Advertisement

ในวันหนึ่ง ขณะที่ท่านนั่งสมาธิได้รับความสว่างอยู่นั้น ท่านหวนพิจารณาถึงความรู้ของท่านและที่ได้แนะนำสั่งสอนผู้อื่น ได้ปรากฏว่า อันที่จริงอริยธรรมเหล่านี้พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วอย่างชัดเจน แต่เพราะเหตุที่ผู้ศึกษาไม่ได้ทำให้เป็นจริงขึ้น จึงปรากฏว่าเป็นสิ่งลึกลับยากแก่การจะรู้จริงได้

แม้ว่าพระพุทธองค์จะทรงแสดงแจ้งชัดสักเท่าใดก็ตาม เช่น พระองค์แสดงอนัตตลักขณสูตร โปรดปัญจวัคคีย์ให้ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์นั้น พระองค์ก็ทรงแสดงชี้ลงไปที่กาย คือ รูปของปัญจวัคคีย์นั่นเอง ได้ทรงแสดงรูปัง ภิกขเว อนัตตา รูปไม่ใช่ตน
แม้รูปของปัญจวัคคีย์ก็มีอยู่แล้ว ทำไมปัญจวัคคีย์ จึงไม่พิจารณาเอาเองเล่า มารู้แจ้งเห็นจริงเอาตอนที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้ดู จึงค่อยมาได้สำเร็จ ข้อนี้ก็เป็นเช่นกับตัวของเรานั่นเอง ได้อุตส่าห์เที่ยวไปแสวงหาอาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิ กระทั่งทั่วประเทศไทยและต่างประเทศ แต่ครั้งจะมารู้จริงได้ ก็คือ การศึกษาปฏิบัติเอาโดยตรงเอง ตามแนวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง

แต่ว่าเท่าที่เราเองได้เข้าใจนั้น ก็เพราะเราไปเห็นความจริงเท่านั้น ทั้งๆ ที่ความจริงก็อยู่ใกล้นิดเดียว แต่ว่าการรู้ข้อปฏิบัติเพื่อความรู้จริงนี้มันเป็นสิ่งที่แปลก เพราะเหตุว่าการทำจิตเป็นนามธรรม เมื่อเกิดความอัศจรรย์หรือความสบาย ก็ไปเข้าใจว่าดีเสียแล้ว จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถจะรู้ยิ่งขึ้นได้ จึงไม่ควรตำหนิผู้ที่เขาพากันทำสมาธิ แล้วหลงใหลไปตามโลกียฌานหรือตามวิปัสสนูปกิเลส เพราะเขาเหล่านั้นก็ได้รับความสงบความเย็นใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก แต่ที่ควรตำหนิ ก็เพราะว่าเขาไม่พยายามหาโลกุตรธรรมนั่น แม้แต่เราในเบื้องแรก เราก็ได้พบโลกียฌาน ฌานมากมาย ซึ่งมันก็ทำให้เราต้องหลงใหลมันไปพักใหญ่ แต่เราพยายามที่จะแสวงหาให้ยิ่งขึ้น เราจึงไม่ติดอยู่เพียงแค่นั้น

อันการติดอยู่หรือเข้าใจผิดในธรรมปฏิบัติจิตอันเป็นภายในนี้ มันไม่ไปนรกดอก แต่ว่าการที่ไปติดมัน มันทำให้ต้องล่าช้าต่อการรู้ยิ่งเห็นจริงต่างหาก เราเองเมื่อได้ความรู้แจ้งนี้แล้ว จึงได้พยายามเพื่อความที่จะทำจิตให้ก้าวหน้าโดยไม่หยุดยั้งทุกหมู่ทุกจำพวกในบรรดาผู้บำเพ็ญจิตในกัมมัฏฐานทั้งหลายนั้น ต่างก็มุ่งหวังเพื่อความดีความเจริญทุกหมู่ทุกคณะ แต่เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั่นเอง ที่ทำให้เขาต้องเสียประโยชน์ ท่านได้ปรารภไปถึง อาฬารดาบสกาลามโคตรและอุทกดาบสราบุตร ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “ฉิบหายเสียจากคุณอันใหญ่” เนื่องด้วยดาบสทั้ง 2 นั้น ได้มรณะไปเสียก่อนที่พระพุทธองค์ได้
ทรงตรัสรู้

ความจริงดาบสทั้งสอง ก็เป็นผู้สำเร็จฌานชั้นสูงกันทั้งนั้น อันว่าฌานชั้นสูงนี้ก็เป็นการให้ความสุขอันยิ่งแก่ผู้ได้สำเร็จอยู่มาแล้ว แต่เพราะเหตุใดเล่าพระพุทธองค์จึงทรงแสดงว่า “ฉิบหายเสียจากคุณอันใหญ่” ก็เพราะว่า ยังไม่หมดจากกิเลสเพราะเพียงแต่ข่มกิเลสไว้ เหมือนกับสิลาทับหญ้าเท่านั้น อันที่จริงฌานชั้นสูงนั้น ก็เป็นเบื้องต้นแห่งการดำเนินไปสู่ความหมดจดจากกิเลส แต่เพราะความที่ดาบสนั้นไม่เข้าใจวิธีแห่งการอันจะพึงทำจิตเข้าสู่อริยสัจเท่านั้น ข้อนี้เป็นประการสำคัญนัก เพราะการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็เพราะเหตุนี้ คือ อริยสัจนี้ แต่ท่านได้พิจารณาต่อไปอีกว่า…

การบำเพ็ญจิตต้องอาศัยปัญญา จึงจะรู้ถูกผิดและมิใช่แต่จะเอาแต่ทำจิตอย่างเดียว ต้องมีสิ่งแวดล้อมภายนอกอีก เช่น ธรรมวินัยทั้งอย่างหนักและอย่างเบา แม้ว่าจะพยายามทำจิตสักเท่าใดก็ตาม ถ้าประพฤติผิดพระวินัยน้อยใหญ่แล้ว จะทำจิตย่อมไม่บังเกิดผล พร้อมกันนั้น ต้องเป็นผู้สันโดษมักน้อย รักษาธุดงค์วัตรต่างๆ อันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสหยาบ ด้วยว่าสิ่งแวดล้อมทั้งหลายที่จะต้องพยายามปฏิบัติให้เป็นอันดี เท่ากับเป็นเครื่องบำรุงส่งเสริม เช่น กับรถยนต์ เครื่องยนต์กลไกต่างๆ ถึงเป็นเครื่องดีมากสักเท่าใดก็ตาม ถ้าขาดการบำรุงรักษาก็ไม่สามารถที่จะให้ผลแก่ผู้ใช้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือเช่น ต้นไม้ต่างๆ ถ้าเราจะปลูกให้ได้ผล ก็ต้องบำรุงรักษา จึงจะให้ผลแก่เจ้าของได้ การบำเพ็ญจิตก็เช่นเดียวกัน ควรจะได้กำหนดข้อปฏิบัติ อันเป็นการสันโดษมักน้อยเอาไว้ โดยการฉันหนเดียว การฉันในบาตร การบิณฑบาต การปัดกวาดทำความสะอาดเสนาสนะการอยู่โคนต้นไม้ การอยู่ป่าการมีจีวรเพียงแต่ไตรจีวร การรักษาวัตรทั้งหลาย มี
เสขิยวัตรและอาจาริยวัตร เป็นต้น

ในปีนั้น ท่านได้พิจารณาเหตุการณ์ต่างๆ อันที่จัดนำไปเพื่อความเจริญในการปฏิบัติธรรม เพื่อจะได้กำหนดแนวทางปฏิบัติที่แน่นอนแก่บรรดาศิษย์ทั้งหลาย พร้อมกันนั้น ท่านได้ทำตัวของท่านให้เป็นตัวอย่างอีกด้วย ทั้งการที่แก้ไขความประพฤติเพื่อให้เป็นการเหมาะสม จากมรรยาทที่ต่ำไปหาที่สูง อันนี้ก็ต้องทดสอบในธรรมวินัยให้เป็นในทางที่ถูกต้องด้วย

ตอน : คำนึงถึงท่านพระสารีบุตรและคำนึงถึงวาสนาของตัวท่านเอง : หลังจากที่ท่านพิจารณาถึงหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ ทั้งภายนอกตามตำรับตำราและภายใน คือ การพิจารณาหาความจริงอันเป็นข้อเท็จจริง ซึ่งจะป้องกันความงมงายต่างๆ เช่น สีผ้า ท่านก็กำหนดได้ว่า ในครั้งพุทธกาลใช้ผ้าสีอะไร ท่านยังทราบว่าพระอนุรุธเถระเจ้า ใช้ผ้าสีคร่ำอ่อน พระโมคคัลลานะ และพระสารีบุตรเถระ ใช้สีวัวโทน และท่านพระมหากัสสปะ ใช้ผ้าสีค่ำเป็นต้น

บางครั้งท่านได้คำนึงถึงท่านพระสารีบุตร ซึ่งครั้งหนึ่งได้ชวนพระโมคคัลลานะไปบำเพ็ญสมณธรรม ณ ถ้ำแห่งหนึ่งเป็นเวลาหลายวัน อยู่มาวันหนึ่งท่านพระสารีบุตรได้ป่วยเพราะโรคปวดท้องกำเริบขึ้น อันพระโมคคัลลานะถามว่า ท่านเป็นโรคนี้ เคยฉันยาอะไรจึงหาย พระสารีบุตรตอบว่า โรคนี้ต้องได้ฉันข้าวมธุปายาส มีน้ำอ้อยผสมกับน้ำตาลกรวดจึงหาย

ขณะนั้นเทวดาที่สิงอยู่ในถ้ำนั้นได้ยิน ก็ต้องการที่จะให้พระเถระได้ฉัน จึงรีบไปยังบ้านอันเป็นโคจรคามของพระเถระทั้งสอง แล้วก็เข้าไปสิงในร่างของเด็ก ทำอาการให้เด็กชักดิ้นชักงอ อันบิดามารดาต้องพยายามแก้ไขทุกอย่าง เด็กก็ไม่ทุเลา เทวดาที่สิงจึงของว่า นี่พวกท่านต้องการให้ลูกหายไหม บิดามารดาตอบว่า ข้าพเจ้าต้องการเป็นที่สุด เทวดาที่สิงอยู่ในร่างเด็กก็บอกว่า ท่านจงทำข้าวมธุปายาส มีน้ำอ้อยผสมน้ำตาลกรวด ไปถวายท่านพระสารีบุตรเท่านั้นเองบุตรของท่านก็จะหายทันที อันบิดามารดาของเด็กรับว่า

“เพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าทำได้ และพระเถระนี้ข้าพเจ้าก็เลื่อมใสท่านเป็นอย่างยิ่ง” แล้วเทวดานั้นก็ออกจากร่างเด็กก็หายทันที รุ่งเช้าพระโมคคัลลานะออกบิณฑบาตแต่เช้า ได้ไปถึงบ้านนั้น อันเขาทั้งหลายได้ถวายอาหารแก่พระโมคคัลลานะ แล้วก็ถวายข้าวมธุปายาส และข้อร้องให้ไปถวายแก่พระสารีบุตร อันพระโมคคัลลานะนำมาแล้วก็น้อมเข้าไปถวายแก่ท่านพระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรได้พิจารณาว่า อาหารนี้ไม่บริสุทธิ์ ท่านจะนำมาทำไม “เพราะเหตุใด” ท่านพระโมคคัลลานะถาม “เพราะว่าเทวดาไปบังคับเขา” พระสารีบุตรตอบ ส่วนท่านโมคคัลลานะได้พิจารณาก็ทราบทันที แล้วพระโมคคัลลานะจึงอุทานว่า “เราตาบอดไปเชียว” แล้วนำข้าวมธุปายาสไปเททิ้ง พระสารีบุตรก็กำหนดจิตให้บริสุทธิ์ หายจากโรคปวดท้องทันที พระอาจารย์มั่น ท่านได้พูดเป็นอุบายว่า ความบริสุทธิ์ของศีลนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความผ่องใส เป็นทางให้เกิดความจริงได้ เพราะศีลมีทั้งอย่างหยาบและอย่างละเอียด พระอาจารย์มั่นท่านพูดเสมอว่า “ท่อนไม้ยางใหญ่ๆ มันเข้าตาคนไม่ได้หรอก ผลธุลีเล็กๆ ต่างหากมันเข้าตาคน”

ในราตรีหนึ่งระหว่างกาลเข้าพรรษา ขณะที่กำลังบำเพ็ญสมณธรรมอยู่เกิดความสงบเยือกเย็นมาก จนเกิดแสงสว่างพุ่งไปสู่พระอภิธรรมทั้ง 7 พระคัมภีร์ขึ้นมา แล้วได้พิจารณากำหนดอย่างแยบคาย ค้นคว้าสามารถรู้ได้ทั้งอรรถและทั้งแปลอย่างคล่องแคล่ว ได้พิจารณาอย่างละเอียดคืนยันรุ่ง

พอรุ่งเข้าออกจากสมาธิแล้ว ความรู้เหล่านั้นปรากฏว่าลบเลือนไปเสียเป็นส่วนมาก ยังจำได้เฉพาะที่สำคัญพอรู้ความหมายเฉพาะเรื่องหนึ่งๆ เท่านั้น ท่านได้พิจารณาวาสนาบารมีของท่าน แล้วคำนึงถึงว่า เมื่อแจ่มแจ้งแล้วทำไมจึงลบเลือนไปเสีย ท่านได้ทราบในญาณของท่านว่า “ปฏิสัมภิทานุสาสน์” ความรู้ที่จะพึงแตกฉานในพระธรรมวินัยนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะได้มีความแตกฉานเป็นปฏิสัมภิทาญาณก็หามิได้ เช้าวันหนึ่งเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน มีโยมผู้ชายคนหนึ่งมาใส่บาตรแล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อคืนนี้ผมฝันเห็นท่านเปิดเอาหนังสือพระไตรปิฎกออกมาอ่านเป็นอันมาก ท่านคงภาวนาดีในคืนนี้” ท่านได้ยินโยมพูด ก็เพียงแต่ยิ้มแย้มนิดหน่อยแล้วก็เดินบิณฑบาตต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image