นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวปาฐกาในงาน กรุงศรี บิสซิเนส ฟอรั่ม 2019 ว่า การดิสรัปชั่นของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น จะส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจ ทุกอุตสาหกรรม แม้ปัจจุบันหลายภาคส่วนจะมีความกังวลอยู่มาก แต่จะต้องปรับตัว เพื่อให้สอดรับกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ ข้อมูลจากหลายหน่วยงาน พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนประชากร ทั้งสิ้น 66.4 ล้านคน ขณะที่ ผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ต่อจำนวนประชากรสูงถึง 187% โดยมีผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่สำหรับอินเตอร์เน็ตถึง 108% และมีจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ถึง 82% ดังนั้น จึงเชื่อว่า คนไทยมีความพร้อมในการรับมือการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้น
“มีการคาดการณ์ว่า ในปี 2565 หรือปี 2022 จำนวน 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศ จะมาจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล ซึ่งมี 4 กลุ่มที่ได้รับประโยชน์ ได้แก่ 1.ภาคธุรกิจ 2.ภาคประชาชนและสังคม 3.การทำวิจัย และพัฒนาด้านนวัตกรรม และ 4.ภาครัฐ ซึ่งในปี 2563 ทุกหน่วยงานภาครัฐ ต้องใช้คลาวด์เดียวกัน โดยมีการเก็บดาต้าเซ็นเตอร์ ให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อลดการใช้งบประมาณที่เดิมทุกหน่วยงานต่างคนต่างใช้” นายพุทธิพงษ์ กล่าว
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความพยายามผลักดันการขับเคลื่อน 5G ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยภายในปี 2563 แต่ จากการหารือร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) หลายรายยังคงติดปัญหาเนื่องจากที่ผ่านมามีการลงทุนในระบบ 4G ที่ปัจจุบันยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน ทำให้เกิดความลังเลในการลงทุน 5G เพราะการลงทุนด้านเทคโนโลยีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทุกๆ 20-25 ปี ถ้าหากไทยไม่ดึง 5G มาใช้ คาดว่า นักลงทุนจะต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ แน่นอน และกว่าที่นักลงทุนจะหันกลับมาลงทุนไทยอีกครั้ง ต้องรอไปอีก 25 ปี ถึงตอนนั้นไทยคงสู้กับประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้แล้ว
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ซึ่งหาก 5G ไม่เกิดขึ้นตามกรอบเวลาที่ได้วางไว้ จะทำให้ประเทศไทยล่าหลังกว่าประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง สปป.ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย รวมถึงฟิลิปปินส์ และเมื่อเป็นเช่นนั้น จะทำให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศนั้นๆ แทน แต่การขับเคลื่อนไปสู่ 5G รัฐบาลจะเป็นผู้ขับเคลื่อนเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ โดยทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เพราะ 5G จะไม่เกิดประโยชน์เฉพาะกับเรา แต่จะเกิดประโยชน์กับลูกหลานของเราในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ซึ่งหาก 5G ไม่เกิดขึ้นประเทศไทยจะต้องสูญเสียเม็ดเงินในการลงทุนนับล้านล้านบาท หรืออาจทำให้ลูกหลานเราต้องย้ายถิ่นฐานไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้านแทน
นอกจากนี้ เมื่อมีการขับเคลื่อนธุรกิจดิจิทัลแล้วต้องให้ความสำคัญกับข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่บนโลกออกไลน์ด้วย ซึ่งในภาคการเงินการธนาคาร ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงดีอีเอสได้ตั้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (ในวาระเริ่มแรก) ตามข้อกำหนดที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติ)พ.ร.บ.) คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 และมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ โดยตามหลักการเหตุผลและความจำเป็นของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้มีประสิทธิภาพ มีมาตรการเยียวยาเจ้าของข้อมูลจากการถูกละเมิดสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล
“สิ่งที่คนไทยจะได้รับจากกฎหมายฉบับนี้ สามารถตอบโจทย์การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ขณะเดียวกันช่วยปลดล็อกให้ธุรกิจและหน่วยงานรัฐสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้ภายใต้มาตรฐานสากล แก้ปัญหาการไม่สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้เท่าที่ควร เพราะติดกับข้อติดขัดที่ไม่มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้ที่ผ่านมามีอุปสรรคอย่างมากในการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์” นายพุทธิพงษ์ กล่าว
เกาะกระแสเศรษฐกิจ กับ Line@มติชนเศรษฐกิจใกล้ตัว