ส.อ.ท.เสนอรัฐชู”อะเมซิ่ง ไทยแลนด์บวก3″ฝ่าวิกฤตศก.ปี63

ส.อ.ท.เสนอรัฐชู”อะเมซิ่ง ไทยแลนด์บวก3″ฝ่าวิกฤตศก.ปี63 จี้ทำแผนลดพึ่งส่งออกเหลือ50% ดึงลงทุนหนีเทรดวอร์อนาคตมะกันจับตา

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานส.อ.ท. กล่าวว่า แม้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะระบุว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้ามีโอกาสเติบโต ทราบดีว่าคำพูดดังกล่าวเพื่อปลุกใจ แต่นึกภาพตามไม่ออก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพารายได้จากการส่งออกถึง 70% ขณะนี้ปัญหาสงครามการค้า(เทรดวอร์)ระหว่างสหรัฐฯและจีนยังยืดเยื้อ บวกกับสถานการณ์เงินบาทของค่าไทยที่คงแข็งค่าต่อเนื่อง ทำให้ทางเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยปีหน้าเติบโตได้คือการพึ่งพาในประเทศ โดยส.อ.ท.มองว่าแนวทางพึ่งพาในประเทศที่น่าได้ผลดีที่สุดในเวลานี้ คือ ภาคการท่องเที่ยวและบริการ เพราะไทยได้รับรางวัลด้านนี้มากมายจนเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก ขณะนี้แม้จะประสบปัญหาจากเงินบาทแข็งค่าทำให้ต้นทุนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น แต่ตัวเลขนักท่องเที่ยวปีนี้ยังสูงอยู่ถึงประมาณ 40 ล้านคน ดังนั้นภาครัฐ โดยกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ควรตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวในอนาคตให้ถึงระดับ 50-60 ล้านคน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างแข็งแกร่งแน่นอน

นายเกรียงไกรกล่าวว่า ไทยต้องดูจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวและบริการ โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งแหล่งท่องเที่ยว อาหาร บริการที่เป็นมิตร บุคลากร และความปลอดภัย โดยเฉพาะประเด็นความปลอดภัยนี้อยากให้รัฐบาลและหน่วยงานเกี่ยวข้องทั้งระบบให้ความสำคัญมากๆ ใช้บทเรียนจากเหตุการณ์เรือล่มที่จ.ภูเก็ต จนทำให้นักท่องเที่ยวจีนกังวลความปลอดภัยในการท่องเที่ยวไทย ทำให้ตัวเลขท่องเที่ยวลดลง จนปัจจุบันเริ่มดีขึ้น หรือเหตุการณ์ข่มขืนนักท่องเที่ยวตามเกาะท่องเที่ยวต่างๆ เรื่องนี้ต้องให้จับตาใกล้ชิด ตอนนี้แม้เหตุการณ์ไม่เกิด แต่ก็อาจขึ้นอีกในช่วงท่องเที่ยวปลายปีนี้ นอกจากนี้ในด้านบริการต่างๆ ทั้งภาคการขนส่ง แท็กซี่ รถโดยสารในพื้นที่ รวมทั้งร้านอาหาร ร้านเครื่องประดับ ต้องมีความเป็นธรรมกับนักท่องเที่ยว ราคาต้องยุติธรรม ไม่ฉวยโอกาส เพราะปัจจัยเหล่านี้หากมีคุณภาพจะทำให้การท่องเที่ยวไทยมีคุณภาพ รองรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม

นายเกรียงไกรกล่าวว่า อยากเสนอให้รัฐบาลจัดแคมเปญ อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ พลัสทรี หรือ อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ บวก3 คือ บวกแรกคือ กู๊ด หรือดี อาจเป็นกู๊ด ฟู๊ด อาหารที่อร่อย คุณภาพดี ราคาไม่แพง อย่างสตรีทฟู๊ดเมืองไทยมีชื่อเสียงควรนำเสนอมากๆ , กู๊ด ทราเวล สถานที่ท่องเที่ยวดี สวยงาม ดึงดูดใจ และกู๊ด โลเคชั่น โดยนำเสนอว่าการมาเที่ยวไทย ไม่ใช่แค่ประเดียว แต่นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปเที่ยวประเทศอื่นในอาเซียน ผ่านการเดินทางที่หลากหลาย ทั้งรถ เครื่องบิน บวกที่สอง คือ ฟัน ควรชูความสนุกจากเทศกาลต่างๆในไทย อาทิ สงกรานต์ที่ดังไปทั่วโลก วัฒนธรรมที่หลากหลายในแต่ภูมิภาค และบวกที่สาม คือ เซฟ เรื่องนี้สำคัญมาก เพื่อความมั่นใจของนักท่องเที่ยว โดยควรดูแลทั้งความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งความปลอดภัยจากอาหารที่มีคุณภาพก็เป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ

Advertisement

นายเกรียงไกรกล่าวว่า สำหรับภาคการลงทุนในปีหน้า พื้นที่ลงทุนสำคัญยังคงเป็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ที่ต้องดูการลงทุนที่เน้นนวัตกรรม อยู่ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายใช้เทคโนโลยีสูง และต้องให้ธุรกิจไทยมีการปรับตัว ทรานฟอร์มรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่นอกจากการดึงลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกเครื่องมือหนึ่งที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ คือ การสร้างแบรนด์ของประเทศไทยให้แข็งแกร่ง สร้างการบริโภคแบรนด์ไทย เริ่มต้นจากภาครัฐ อาจเริ่มจากการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่คนไทยเป็นเจ้าของ เมื่อเศรษฐกิจไทยพึ่งพาในประเทศไทย ก็จะลดการพึ่งพาการส่งออกที่ปัจจุบันสัดส่วน 70% โดยรัฐบาลควรกำหนดแผนการลดการส่งออกของไทยให้เหลือประมาณ 60% ในช่วง 5-10 ปีข้าง และกำหนดเป้าหมายให้เหลือแค่ 50%ในอนาคต

“ปัจจุบันทั่วโลกต่างเริ่มออกมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่รูปแบบภาษี เพราะต้องการปกป้องสินค้าในประเทศตนเอง อย่างสาเหตุที่อินเดียยังไม่ตอบรับร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรืออาร์เซ็ป เพราะเป็นห่วงว่าสินค้าที่เข้าอินเดียจะกระทบกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ของประเทศ หรือตัวอย่างประเทศจีน รัฐบาลให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ แบรนด์จีน พัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ทำให้สินค้าจีนได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้น และสามารถส่งออกไปขายต่างประเทศได้ในราคาไม่แพง โดยโมเดลการบริโภคจากสินค้าในประเทศนั้นทำมานานในหลายประเทศ ทั้งจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ซึ่งไทยควรใช้แนวทางนี้เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออก”นายเกรียงไกรกล่าว

นายเกรียงไกรกล่าวว่า ส่วนความพยายามดึงนักลงทุนจีนและต่างชาติที่ลงทุนในจีนและต้องการหาพื้นที่ลงทุนใหม่ ให้เข้ามาลงทุนในไทย ตามนโยบายของรัฐบาลที่ดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกระตุ้นการลงทุนสิ้นปีนี้ถึงปีหน้านั้น ในมุมของเอกชนไม่ได้ขัดข้อง แต่อยากตั้งข้อสังเกตว่าการดึงนักลงทุนเข้าไทยครั้งนี้ต้องเกิดประโยชน์กับประเทศชาติจริงๆ ไม่ใช่สุดท้ายมาฆ่าภาคอุตสาหกรรมไทย โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่เข้ามาและได้สิทธิประโยชน์จากบีโอไอนั้นควรเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถ ไม่สร้างปัญหาให้คนไทย และควรเป็นประเภทกิจการที่อยู่ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายจริงๆ นอกจากนี้หากเข้ามาแล้วเน้นผลิตเพื่อส่งออกสหรัฐฯเพียงอย่างเดียว ควรชั่งน้ำหนักว่าในระยะยาวจะทำให้ไทยได้รับผลกระทบ ถูกจับตาจากสหรัฐฯหรือไม่ เพราะปัจจุบันไทยเกินดุลสหรัฐฯอยู่ประมาณ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเร็วๆนี้เคยถูกจับตาและถูกกล่าวหาว่าปั้นค่าเงินให้อ่อนค่า จนต่อมาผลสอบข้อเท็จจริงไทยไม่มีความผิด จึงส่งออกได้ปกติ

“ดังนั้นหากเกิดการลงทุนจากนักลงทุนที่เน้นส่งออกไปสหรัฐฯ อนาคตไทยอาจเกินดุลเพิ่มเป็น 30,000-40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อถึงจุดนั้นคาดว่าสหรัฐฯจะต้องจับจ้องไทยและพยายามขัดขวางการส่งออก เหมือนที่ทำกับจีนแน่นอน ดังนั้นรัฐบาลต้องชั่งน้ำหนักแนวทางการลงทุนของประเทศในปีหน้าให้มากๆ”นายเกรียงไกรกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image