ศพ ‘ทนายวิจัย’ ถึงวัดป่ามัชฌิมวงษ์ฯ บ้านเกิดแล้ว เมียเล่าลางบอกเหตุก่อนเกิดเรื่อง

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 ที่วัดป่ามัชฌิมวงษ์รัตนาราม ม.4 บ.เหล่าใหญ่ ต.แชแล อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นสถานที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพนายวิจัย สุขรมย์ หรือทนายวิจัย อายุ 51 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิตในห้องพิจารณาคดี ศาลจังหวัดจันทบุรี ซึ่งนายสาคร สุขรมย์ และนางถาวร สุขรมย์ อายุ 75 ปี พ่อ และแม่ นางธนินท์ธร ผัสดี อายุ 51 ปี ภรรยา และญาติพี่น้อง ไปรับศพจากโรงพยาบาลตำรวจ มาถึงเมื่อ 21.00 น.ของคืนวันที่ 13 พฤศจิกายน โดยมีกำหนดฌาปนกิจในวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่วัดแห่งนี้ ซึ่งเป็นวัดที่ทนายวิจัยบวชเรียน

นางธนินท์ธร ภรรยา กล่าวว่า เสียใจมากที่เหตุการณ์เกิดกับครอบครัว เพราะเคยเห็นแต่ในข่าว ผู้ตายเป็นนักกฎหมายจริงๆ หลังเลิกงานกลับมาบ้าน ยังตั้งใจทำงานต่อ อดหลับอดนอน ซึ่งเจตนาอย่างอื่นไม่มี ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนมีลางบอกเหตุหลายเรื่อง อาทิ ฝันเห็นโต๊ะปูผ้าสีแดง ด้านบนมองเห็นขาคนวางอยู่ จึงผวาตกใจตื่นขึ้นมา จึงสวดมนต์คมถายันทุน ให้ฝันร้ายกลายเป็นดี วันจัดกระเป๋าให้ก่อนไปว่าความที่ จ.จันทบุรี สั่งว่าไม่ต้องเอาเสื้อผ้าไปมาก ให้เอาสูทสีดำ ไม่ต้องเอาสูทสีเทา รองเท้าแตะไม่ต้องเอาไป เพราะคงไปไม่นาน วันเดินทางก็ลากกระเป๋าไปส่งที่รถ ทั้งที่ไม่เคยทำ ส่วนร้านอาหารที่เปิดวันที่ และเดือนเดียวกันกับที่สามีเสียชีวิต ก็ต้องปิดหยุดกิจการ

“พี่วิจัยเป็นที่รักของญาติผู้ใหญ่ เป็นคนไม่ค่อยพูด แต่จะพยายามพูดคุย หยอกล้อไม่ให้เครียดกับงาน และดูแลเรื่องอาหาร จัดกระเป๋าเสื้อผ้าให้ตอนไปว่าความต่างจังหวัด ว่างงานก็จะพาไปวัดทำบุญ ดิฉันโชคดีที่ได้อยู่กับพี่วิจัย นอกจากเป็นทนายความ ยังเปิดร้านอาหารเหนือ ชื่อร้านอู่ข้าว-อู่น้ำ บริเวณวิภาวดี 16 เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2558 ซึ่งตรงกับวันเสียชีวิตพอดี และได้ปิดร้านไปเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อนเสียชีวิต เนื่องจากเจ้าของพื้นที่ต้องการขาย” นางธนินท์ธร กล่าว

นางธนินท์ธรกล่าวอีกว่า วันก่อนเกิดเหตุ ได้ออกไปจ่ายค่าไฟฟ้ากับน้อง แล้วแวะไปลอยกระทงที่วัดพระศรีมหาธาตุ ได้ถ่ายภาพส่งไลน์ไปให้ดู ซึ่งสามีคงจะเตรียมงานไปศาล จึงยังไม่เปิดดู ยังไม่ได้คุยอะไรกัน แต่ต้องจากไปแบบกะทันหัน โดยไม่ได้สั่งเสียล่ำลากันเลย แต่ก็ไปสบายแล้ว จากไปในหน้าที่การงาน ในสถานที่ที่ทำงาน ก็ถือว่าเป็นเกียรติ และอยากให้หลับไปสบาย

Advertisement

“ขอให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้สถานที่ราชการ หรือหน่วยงานรอบครอบ ป้องกันให้มากกว่านี้ เพราะสังคมปัจจุบันรู้จักหน้า แต่ไม่รู้จักใจ และไม่รู้ว่าคนไหนต้องการชนะ หรือไม่ชนะในคดีเราก็ไม่รู้ ซึ่งให้มีการป้องกันสถานที่ราชการให้แน่นหนากว่านี้” นางธนินท์ธร กล่าว

นายเกรียงศักดิ์ ศรีโบราณ นายกเทศบาลตำบลเชียงแหว กล่าวว่า ตนเป็นทั้งลูกพี่ลูกน้อง พี่ และเพื่อนกับทนายวิจัย เพราะอายุห่างกันเพียง 1 ปี พวกเราโตมาด้วยกัน นิสัยของนายวิจัยเป็นคนใจเย็น ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ไม่เคยมีเรื่องชกต่อย สุราก็ไม่ดื่ม เป็นคนใจเย็นมาก จนคนในหมู่บ้านพูดกันว่าเป็นทนายที่ไม่ค่อยพูด หลังเรียนจบแล้ว ทนายวิจัยเป็นทนายอิสระ จากนั้นไปทำงานที่สำนักงานทนายความที่กรุงเทพฯ ผมยังคงติดต่อไปมาหาสู่กัน เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่าน ก็ไปให้ทนายวิจัยช่วยคดีความอยู่ รวมทั้ง ไปขึ้นบ้านใหม่ของทนายวิจัยด้วย

“ส่วนตัวคิดว่าคดีนี้เป็นการต่อสู้เรื่องมรดก มีได้มีเสีย ถึงจะถูกฎหมาย แต่คนที่สูญเสียก็เจ็บแค้นได้เช่นเดียวกัน เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ต้องยอมรับตรงนั้น ควรจะเป็นไปตามกระบวนการ ทนายก็ต่อสู้ด้วยหลักฐาน ศาลก็ตัดสินด้วยหลักฐาน เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ตัดสินคนแบบนี้ก็ไม่ยุติธรรม ส่วนประเด็นอื่นๆ ที่จะไปต่อว่าอะไรข้างนอก ผมไม่รู้นะ จะมีหรือไม่มี ผมไม่รู้” นายเกรียงศักดิ์ กล่าว

Advertisement

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image