เท้าเล็กจะสดใส… เท้าใหญ่ชีวิตจะลำบาก เรียบเรียงโดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

นานนับพันปีมาแล้ว…ในแผ่นดินจีน มีความเชื่อกันว่า สตรีที่มีเท้าขนาดเล็กและยิ่งถ้า “รัดเท้า” ย่อส่วนเท้าทั้ง 2 ข้างให้เล็กลง จัดทรง ทำเท้าให้มีรูปร่างเหมือน “ดอกบัว” สตรีนั้นๆ จะเป็นที่ต้องตา-ต้องใจ ของชายทั้งปวง และดูเป็นชนชั้นสูง

การรัดเท้าของหญิงชาวจีนในอดีต เริ่มปฏิบัติกันมาจากกลุ่มชนชั้นสูงในราชสำนัก แล้วแพร่หลายไปสู่ระดับสามัญชน

เท้าของสตรีที่มียาวประมาณ 4 นิ้ว เป็นที่สบอารมณ์ของชายชาวจีนอย่างยิ่ง ถือว่ามีเสน่ห์มาก แม้แต่เท้าที่หักและบิดก็ถูกมองว่าเซ็กซี่

การรัดเท้า (foot binding) คือ การทำให้เท้าของหญิงผิดรูปร่าง โดยต้องการลดขนาด เท้าที่ถูกบีบรัดที่สวยงามนั้น จะมีสัณฐานเรียวเล็กคล้ายดอกบัว เรียกว่า “บัวทองสามนิ้ว”

Advertisement

สตรีที่งามสรรพ ต้องยอมเจ็บปวดนานนับปี เพื่อประสงค์ที่จะให้เท้าของเธอมีความยาวเพียง 3-4 นิ้วเท่านั้น

มีข้อสันนิษฐานหลายประการเกี่ยวกับที่มา-ที่ไป ของการรัดเท้าหลากหลาย…

ข้อมูลจากสำนักหนึ่ง เล่าต่อกันมาว่า…นางต๋าจี่ พระสนมของพระเจ้าโจ้ว แห่งราชวงศ์ซาง นางเกิดมาไม่สมประกอบเพราะ “เท้าแป” (club foot)

นางจึงขอให้พระเจ้าโจ้วสั่งให้สตรีทุกคนในราชสำนัก ผูกรัดเท้าจนมีรูปเหมือนเท้าของนาง เพื่อที่ว่าเท้าอันพิการของนางจะได้กลายเป็นมาตรฐานแห่งความงดงามและภูมิฐาน

อีกสำนักหนึ่งบอกเล่ากันมาว่า… สาวงามชื่อ พัน ยฺวี่หนู หญิงคณิกาคนโปรดของพระเจ้าเซียว เป่า เจฺวี้ยน แห่งอาณาจักรฉีใต้ มีเท้าที่เล็กมากกระจุ๋มกระจิ๋ม เธอมีความสามารถพิเศษ คือ เธอจะใช้ผ้าสีขาวพันรอบเท้าทั้งสองแล้วร่ายรำ โดยใช้พื้นที่วางเท้าในวงกลมที่มีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือเท้านั้น ทำให้พระจักรพรรดิพอพระทัยยิ่งนัก

แถมรูปทรงเท้าของเธอ เมื่อร่ายรำจะเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว

ข้อมูลที่แตกต่างออกไประบุว่า…ครั้งหนึ่ง..พระเจ้าหลี่ อฺวี้ ทรงให้สร้างดอกบัวทองคำสูงหกฟุต ตกแต่งด้วยเครื่องประดับสวยงาม และให้ เหย่า เหนียง พระสนม รัดเท้าด้วยผ้าขาวให้มีรูปดังจันทร์เสี้ยว แล้วขึ้นไประบำด้วยปลายเท้าบนดอกบัวประดิษฐ์นั้น

นางร่ายรำได้ประณีตงดงามเป็นที่ต้องตาต้องใจ ตั้งแต่นั้นมา…นางในราชสำนักจึงคิดหาทางรัดเท้าให้มีขนาดเล็ก

ถ้าจะว่ากันไป ตำนานที่เล่าต่อกันมานี้ ก็คงคล้ายการเต้นบัลเลต์ ระบำปลายเท้าในยุโรป แต่จีนทำสิ่งเหล่านี้มาก่อนยุโรปหลายร้อยปี…

ข้อมูลที่บันทึกไว้ คือ ครึ่งหนึ่งของสตรีในวังของจีน ตั้งใจรัดเท้าให้เรียว

“เท้าเล็กและเป็นรูปดอกบัว” จะบ่งบอกถึงสถานะในสังคมได้ และยังเป็นเครื่องแสดงชั้นวรรณะ เหตุผลและหลักคิด คือ สตรีที่ครอบครัวเธอมีกิน มีใช้ เธอไม่จำต้องใช้เท้าทำงาน คุณเธอเหล่านั้นเท่านั้นจึงจะรัดเท้าได้

อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่าสตรีชาวจีนทั้งแผ่นดินจะเชื่อและทำตามนี้นะครับ …เป็นบางภูมิภาคของแผ่นดินจีนเท่านั้น เริ่มจากในราชสำนักแล้วแพร่กระจายออกไปยังประชาชนทั่วไปและชนบท

ประวัติศาสตร์ที่สืบค้นได้ระบุว่า.. แฟชั่นการรัดเท้า เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าหลี่ อฺวี้ แห่งอาณาจักรถังใต้ในสมัย 5 ราชวงศ์ 10 อาณาจักร

ในปี พ.ศ.1664 พระเจ้าคังซี จักรพรรดิจีน สั่งห้ามการรัดเท้าอีกต่อไป แต่ไม่เป็นผล ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชาวจีนนักปฏิรูปหลายคนคัดค้านต่อต้านการทารุณกรรมแต่ก็ล้มเหลว เพราะสตรีชาวจีนทั่วไปเห็นว่าเมื่อชนชั้นสูงมีเท้าที่มีขนาด เล็กและสวยงาม ชนชั้นล่างก็ไม่ลังเลที่จะเลียนแบบด้วยความเต็มใจ

ซูสีไทเฮา เองก็มีแนวทาง ห้ามการรัดเท้าเป็นเด็ดขาด ก็ไม่เป็นผลเช่นกัน

หัวหน้าครอบครัว คือ พ่อและแม่ เชื่อมั่นว่าการรัดเท้าให้ลูกสาว เป็นวิธีหนึ่งที่จะเพิ่มโอกาสให้ลูกสาวได้แต่งงาน มีครอบครัว

แพทย์และนักวิชาการที่สนใจและติดตามเรื่องนี้ ให้ความเห็นว่า…การรัดเท้า เป็นการฝืนธรรมชาติการเจริญเติบโตของอวัยวะในตัวมนุษย์อย่างรุนแรง เด็กผู้หญิงจะถูกรัดเท้าเมื่อมีอายุ 4-9 ขวบ เป็นช่วงที่กระดูกยังไม่สมบูรณ์ ตลอดระยะเวลา จะเจ็บปวดมากเพราะเป็นการทำให้เท้าผิดรูปแบบ

กรรมวิธีการรัดเท้า…น่าสนใจมากครับ

เมื่อมีเด็กสาวต้องการเข้าสู่วงการ…คนเฒ่า คนแก่ ผู้ชำนาญรัดเท้าจะเป็นผู้ลงมือ ก่อนอื่น เด็กน้อยจะต้องแช่เท้าในน้ำสมุนไพรและเลือดสัตว์ ตัดเล็บออกให้สั้นที่สุด เท้าจะอ่อนนุ่ม ง่ายต่อการจัดรูปทรง

ขั้นตอนสำคัญที่สุดและเจ็บปวดที่สุด คือ การพับนิ้วเท้าทั้ง 3 ให้งอลงไปกับฝ่าเท้า กระดูกนิ้วเท้าทั้ง 3 จะถูกหัก นี่เป็นสิ่งที่เธอต้องยอมเจ็บแสนสาหัส

นิ้วเท้าที่หักพับงอลงไปนั้น จะถูกมัดด้วยผ้าฝ้ายอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันการเคลื่อนตัว และป้องกันแผลติดเชื้อ

ผู้ชำนาญการรัดเท้าจะคลายผ้าที่รัดตรึงออก ตรวจดูการพับงอของนิ้วทั้ง 3 ทุก 2-3 สัปดาห์ และมัดกระชับเข้าไปอีกทุกครั้ง โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำให้เท้ามีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้

กระบวนการเพิ่มเสน่ห์เร้าใจชายแบบนี้ เธอทั้งหลายจะต้องยอมเจ็บปวดต่อเนื่องไป 2-3 ปี

สตรีที่รัดเท้าทุกคน จะได้รับการฝึกฝนการเดิน เพราะนิ้วเท้าของพวกหล่อนแตกหักอย่างเป็นระบบและมีรูปร่างในลักษณะที่คล้ายกับกีบม้า

ผู้เขียน…อ่านไป เขียนไป ยังเจ็บปวดแทนเด็กๆ สาวชาวจีนในอดีต

สตรีชั้นสูงของจีนมิได้รัดเท้าแบบนี้ไปตลอดชีวิต เธอจะถอดผ้าที่รัดเท้าออก เพื่อตัดเล็บ ทำความสะอาดเท้าเป็นระยะๆ บริเวณเท้าตรงนี้จะชา ไม่มีความรู้สึก เด็กสาวจำนวนไม่น้อยที่รัดเท้า เกิดอาการเนื้อเน่า ติดเชื้อ

ชาวตะวันตกที่เข้าไปทำวิจัยเรื่องนี้ พบว่าการรัดเท้าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสุขภาพของหญิงสาว เล็บเท้าที่งอกออกมา จะฝังตัวลงไปในเนื้อเท้าและนำไปสู่การติดเชื้อที่น่ากลัว

เมื่อเท้าถูกรัดแน่น โลหิตจะไม่ไหลเวียน ถ้าเป็นแผลจะเรื้อรัง เนื้อตายและเน่า ในที่สุดนิ้วที่งอพับ การเน่าตายของเนื้อ จะเป็นการลดขนาดของเท้าลงไป…นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องการ

มีเด็กหญิงประมาณ 10% ที่ถูกมัดเท้า เสียชีวิตจากการติดเชื้อ

มนุษย์ที่เกิดมา อายุเดินไปข้างหน้าไม่เคยหยุด เมื่ออายุมากแล้วเป็นไง ?

เมื่ออายุมากขึ้น “คนสวยเท้าเล็ก” จะประสบปัญหา ทรงตัวไม่อยู่ ทำงาน ยกขนอะไรแทบไม่ได้ กระดูกข้อเท้าไม่แข็งแรง แต่เด็กสาวทั้งหลายก็ยังตั้งใจ เต็มใจที่จะเจ็บปวดเพื่อ “ถูกตา ต้องใจ” ชายหนุ่ม

ค่านิยมการรัดเท้า…แพร่หลายต่อเนื่องในแผ่นดินจีนต่อเนื่องราว 1 พันปี โดยเฉพาะเมืองทางฝั่งตะวันออก

ชนเผ่าหนึ่งในจีน ที่ไม่ได้ผูกรัดเท้าของพวกเขาคือ ชาว Hakka เพราะผู้หญิงชนเผ่านี้ มีอาชีพในการทำประมงด้วย พวกเธอจำเป็นต้องเท้าขนาดเป็นปกติ เพื่อที่จะรักษาสมดุลของตัวเองขณะอยู่บนเรือและเท้าจะเป็นพลังขับเคลื่อนเมื่อต้องว่ายน้ำ

เมื่อราชวงศ์ชิง (Qing Dynasty) ที่ล่มสลายในปี พ.ศ.2455 ประเทศมหาอำนาจตะวันตกนำเรือปืนไปยึดแผ่นดินจีน นักบวช หมอสอนศาสนา บาทหลวงจากคริสต์ศาสนา เข้าไปทำงานในจีน ภรรยาของบรรดาบาทหลวง เป็นหัวหอก รณรงค์ให้สตรีชาวจีนเลิกการรัดเท้า และจัดตั้งสถานพยาบาลเพื่อช่วยเหลือ

การรัดเท้า กลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์อีกต่อไป ถือเป็นการเปลี่ยนค่านิยมแบบฉับพลัน

เรื่องตลกร้ายที่ตามมา คือ

สตรีชาวจีนจำนวนมากที่รัดเท้าเหมือนดอกบัว เพื่อ “เตรียมความพร้อม” ที่จะหาคู่แต่งงาน กลับกลายเป็นสตรีที่ถูกเมินและร้างรา และแม้กระทั่งสตรีที่แต่งงานแล้ว สามีของพวกเธอก็หันหลังให้ เพราะการรัดเท้าเป็นแฟชั่นที่ล้าสมัยไปซะแล้ว

นี่เป็นมุมมองประวัติศาสตร์จีน ที่ผู้หญิงโดนกดขี่ เหยียดหยาม… เริ่มต้นด้วยความเจ็บปวดและน้ำตา แล้วก็จบลงด้วยความเจ็บปวดและน้ำตา

สำหรับสังคมเมืองแล้ว การรัดเท้ากลับกลายเป็นเรื่องไม่ดีงาม หากแต่เมืองทั้งหลาย ที่อยู่ตอนกลางของแผ่นดินที่ยังมีสภาพชนบท ห่างไกล สตรีในดินแดนห่างไกลโพ้นยังคง ยึดมั่น ถือมั่นการรัดเท้า

สงครามกลางเมืองในจีน ระหว่างค่ายประชาธิปไตยกับค่ายคอมมิวนิสต์ จบลงในปี พ.ศ.2492 เหมา เจ๋อ ตุง ขึ้นเป็นผู้นำจีนหมายเลข 1 บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของจีน ปฏิรูปเมืองจีนแบบพลิกแผ่นดิน เรื่องหนึ่ง คือ บัญญัติให้การรัดเท้าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

สตรีชาวจีนที่เคยรัดเท้าให้เล็กนับล้านคน เป็นแรงงานที่เคยหายไปจากท้องไร่ ท้องนา ก็ทยอยหมดไป สตรีรุ่นใหม่ๆ ที่มิได้รัดเท้าสามารถทำไร่ ทำนา ทำสวนได้ ค่อยๆ คืนกลับมาสู่ไร่นา

แผ่นดินจีนกลับพลิกฟื้น มีแรงงานสตรีเข้ามาเพิ่มผลผลิตให้กับแผ่นดินจีนอีกครั้ง

ข้อบัญญัติของ เหมา เจ๋อ ตุง ที่ห้ามการรัดเท้า เป็นคุณอนันต์ต่อแผ่นดินจีน เมื่อเวลาผ่านไป สตรีเท้าเล็กเริ่มน้อยลงๆ และเลิกราไปในที่สุด

มาถึงยุค 90 นี้ ยังคงมี “หญิงชราเท้าเล็ก” ในแผ่นดินจีนหลงเหลืออยู่บ้างพอเห็นได้ คุณชวด คุณย่า คุณยายเหล่านั้นกำลังกลายเป็นประวัติศาสตร์

จะว่ากันไป…วัฒนธรรมของชนเผ่าทั่วโลก มีมาตรวัดความงามที่แตกต่างกันนะครับ ผู้หญิงญี่ปุ่นเคยทำให้ฟันของพวกเขาดำหลังจากการแต่งงาน สตรีชาวป่าในแอฟริกาเผ่าหนึ่ง ต้องเอาเหล็กวงกลมไปถ่วงหู ถ่างริมฝีปากล่างให้กว้าง บ้างก็เจาะจมูกใส่ห่วง …

ชาวสยามและผู้คนในภูมิภาคนี้ เคยนิยมฟอกฟันให้ดำ ต้องกินหมากให้ฟันดำและขัดมันวาว เพราะเชื่อว่า ไอ้พวกคนฟันขาว เป็นพวกภูตผีปีศาจ…

เรื่องรักสวยรักงาม มันห้ามกันยาก ปัจจุบันมนุษย์จำนวนไม่น้อยทำศัลยกรรม เปลี่ยนเพศ แปลงหน้าจากขี้ริ้วขี้เหล่ กลายเป็นพระเอก นางเอกทำเงิน ทำทอง เบิกบานสำราญใจ…ก็ไม่ต่างไปจากแนวคิดการ “รัดเท้า” เท่าใดนัก…

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image