‘ชาญวิทย์’ฟันธงรัฐบาลอยู่ไม่ครบเทอม หวังแฟลชม็อบสร้างจุดเปลี่ยนการเมืองไทยสู่ประชาธิปไตย

 

ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยในงานมหกรรมรัฐธรรมนูญ ประชาชนว่า ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันยากมากที่รัฐบาลจะบริหารงานได้ครบเทอม 4 ปี เพราะปัจจุบันจะเห็นว่าการบริหารของรัฐบาลเป็นการบริหารและแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าในระยะสั้นเท่านั้น แม้รัฐบาลจะมีแผนบริหารระยะยาว คือ แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แต่ไม่ค่อยเห็นการดำเนินการที่เป็นหลักเป็นฐานเห็นเพียงการดำเนินการชั่วครั้งชั่วคราวพอให้อยู่ต่อไปได้เท่านั้น ทั้งนี้ ในความเข้มแข็งในสภาของรัฐบาลก็ไม่มากพอ ขณะที่ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลทั้งในประเทศและต่างประเทศก็อ่อนแอ ซึ่ง 3 สิ่งที่จะเห็นหลังจากนี้ คือ 1.รัฐบาลอาจจะถูกบีบให้ลาออก 2.อาจจะเห็นการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ หรือ 3.การยึดอำนาจครั้งใหม่

“ในอนาคตอันใกล้เป็นไปได้ทั้ง 3 ประตู คือจะมีการยึดอำนาจใหม่ การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ หรือการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องลาออก แต่ยังไม่กล้ายืนยันหนักแน่นว่าจะออกประตูไหนเพราะมีโอกาสเป็นไปได้ทั้งหมด ซึ่งในสถานการณ์ที่มันลื่นไหล มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เดาและคาดการณ์ไม่ได้ ทุกอย่าง 50:50 อาจจะดีขึ้นหรือเลวร้ายลงกว่าเดิมก็ได้” นายชาญวิทย์ กล่าว

นายชาญวิทย์ กล่าวถึงกรณีแฟลชม็อบว่า ไม่คิดว่าจะประสบความสำเร็จมากขนาดนี้แต่จากที่เห็นจากข่าวและโซเชียลมีเดียแล้วต้องขอแสดงความยินดีกับผู้ที่เข้าร่วมในแฟลชม็อบครั้งนี้ เพราะถือเป็นวิธีการดำเนินการที่เป็นไปอย่างสันติวิธี หรือ สันติประชาธรรม ซึ่งเป็นการแสดงอารยขัดขืน และไม่ได้ใช้ความรุนแรง ถ้าการแสดงเข่นนี้สามารถจะทำได้ต่อไปไม่ถูกปราบปรามน่าจะมีความหวังต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยได้บ้าง

Advertisement

“ดูจากโมเดลการทำแฟลชม็อบของมาเลเซียซึ่งเรียกร้องการเลือกตั้งที่สะอาดและยุติธรรม ม็อบได้ใส่เสื้อสีเหลืองรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว มีการปราศรัยที่ตึกแฝดปิโตรนาส กรุงกัวลาลัมเปอร์ และแยกย้ายอย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงการปะทะกับฝ่ายรัฐบาล ซึ่งการเลือกตั้งครั้งล่าสุดฝ่ายค้านชนะ รัฐบาลเก่าอยู่มานานมากจนไม่มีใครคิด ผมมีความหวังอยู่ว่าในบ้านเมืองของเราต้องเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตยโดยสันติวิธีไม่เป็นไปในรูปแบบของกัมพูชา เมียนมา ขณะนี้เรากำลังเปลี่ยนผ่านอย่างไม่เคยมีมาก่อนเชื่อว่าไทยจะไม่ย่ำซ้ำรอยเหมือนที่เคยในอดีตหลายสิบปี นี่คือยุคของการเปลี่ยนผ่านแล้ว ซึ่งคนรุ่นใหม่ คนที่มีความคิดใหม่ทำท่าว่าจะขึ้นมาได้แต่ก็ยังไม่มีอะไรที่มั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกจำกัด หรือกำจัด” นายชาญวิทย์ กล่าว

นายชาญวิทย์ กล่าวว่า ตัวแทนของอำนวจเดิม บารมีเดิมคงต้องการอย่างยิ่งที่จะกำจัดคนที่เป็นตัวแทนของอำนาจใหม่ บารมีใหม่ ความคิดใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาแต่ถ้าไม่ให้คนรุ่นใหม่เล่นตามกรอบเล่นในระบบรัฐสภา เขาก็มีสิทธิที่จะอ้างการเล่นนอกระบบได้ ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ อยู่ที่ว่าตัวแทนของอำนาจเก่า บารมีเก่า ฉลาดพอที่จะมองทางออกที่ดีที่สุดของสังคมไทยจะเป็นทางไหน จะเป็นทางที่ใช้ความรุนแรง มีการปราบปรามและนองเลือด หรือทางที่มีสติปัญญามากกว่านั้นในการที่ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้น ทั้งนี้ ปัจจุบันกระบวนการยุติธรรมถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการกำจัดกลุ่มอำนาจใหม่ บารมีใหม่ เกิดข้อกังขาและความไม่ยุติธรรม เพราะมีสิ่งที่เรียกว่าสองมาตรฐาน และสิ่งที่เรียกว่าไม่มีมาตรฐานเลยเกิดขึ้น

“ที่สุดแล้ว ผู้ที่มีอำนาจหรืออยู่ในอำนาจมานานต้องตะหนักว่าทั้งโลกและไทยเปลี่ยนไปแล้ว จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และวิถีทางประชาธิปไตย ต้องมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยของประชาชน มีรัฐสภา มีผู้แทนราษฎรษณ์ที่จะต้องเป็นสากลไม่ใช่รูปแบบไทย ๆ อย่างที่ผ่านมา มีการเลือกตั้งที่สะอาดยุติธรรม ในส่วนของประชาชนเองมีการเรียนรู้จากประสบการณ์หลายสิบปีที่ผ่านมา ขณะนี้ไม่มีประชาชนที่เป็นชนชั้นล่าง ที่อยู่พื้นที่กึ่งเมืองกึ่งชนบทแบบเดิม ๆ ที่ถูกนำเข้ามาเพื่อการประท้วงใช้ประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งไม่ใช้บทบาทที่แท้จริงของคนกลุ่มนี้ แต่ประชาชนกลุ่มนี้มีบทบาทอย่างมากที่จะผลักดันกลุ่มอำนาจใหม่ บารมีใหม่ให้ขึ้นมา ซึ่งทุกคนเข้าใจแล้วว่าบัตรเลือกตั้งเป็นตัวชี้ขาดว่าเขาจะมีอำนาจและมีสิทธิในประเทศนี้”นายชาญวิทย์ กล่าว

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image