การเดินทางเข้าร่วมประชุมสามัญประจำปี 2563 พรรคพลังประชารัฐของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้รับความสนใจเป็นอย่างสูงในทางการ เมือง
เพราะเบื้องต้นเป็นการนอนมาและเมื่อถึงสถานที่ประชุมจึงเป็น การลุกจากเตียงหามแล้วขึ้นนั่งบนวีลแชร์
สะท้อนให้เห็นว่าถึงลำบากแค่ไหนก็มีจิตหนึ่งใจเดียวเพื่อพรรค
ความน่าสนใจมิได้อยู่ที่ว่าการประชุมครั้งนี้ไม่เพียงแต่มีการดึงเอา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เข้าเป็นกรรมการบริหารพรรค หากแต่ยังดึงเอา นายอนุชา นาคาศัย ขึ้นเป็นรองหัวหน้าพรรค
ที่สำคัญ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ยังยืนยันข้อมูล
“พล.อ.ประวิตร วงษ์วานิช บอกเป็นประกาศิตมาแล้วให้ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นเลขาธิการต่อไป”
ข้อมูลนี้มีความหมายและสะท้อนบทบาทของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุ วรรณ อย่างเด่นชัด
เมื่อเป็น”ประกาศิต”ก็ต้อง “ปฏิบัติ”
จึงมิได้เกิดอะไรนอกเหนือความคาดหมาย นายอุตตม สาวนายน ยังเป็นหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ยังเป็นเลขาธิการพรรค เหมือนเดิม
แม้ นายอุตตม สาวนายน จะมองและประเมินว่า ข่าวการเปลี่ยน ตัวเลขาธิการพรรค”ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
แต่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ตอกย้ำอย่างหนักแน่นภายหลังคำ
“ประกาศิต” ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “นายอนุชา นาคาศัย ก็เห็นด้วย”
เท่ากับยืนยันว่า ความพยายามจะดัน นายอนุชา นาคาศัย ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคนั้นเป็นความจริง
การเปลี่ยนโลโก้พรรคพลังประชารัฐจากเดิมมีลักษณะเป็น”เหลี่ยม”ให้ดำเนินไปอย่างเป็น “วงกลม” อันสะท้อนความหมายถึงการไม่มีเหลี่ยม ไม่มีคม
ด้านหนึ่ง จึงยืนยันถึงความเป็นเอกภาพ ความกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่ง รายชื่อคณะกรรมการบริหารพรรคก็ยืนยันอย่างเป็นรูปธรรมถึงการรุกเข้ามาเป็นลำดับของกลุ่มสามมิตรในพรรคพลังประชารัฐ
นั่นคือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายอนุชา นาคาศรัย
เพียงแต่อาศัยร่มเงาของพี่ใหญ่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
