รู้เรื่องก่อนกิน “วิตามิน”
หลายปีมานี้วิตามิน เกลือแร่ สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ ดูจะได้รับความนิยมขึ้นอย่างมาก ทั้งเพื่อความงามและเพื่อสุขภาพ แต่การจะเลือกผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เภสัชกรต้องมีส่วนสำคัญในการให้คำปรึกษาถึงวิธีใช้ที่ถูกต้อง สถาบันแบลคมอร์ส สำนักงานใหญ่ ประเทศออสเตรเลีย จึงได้ร่วมกับวิทยาลัยเภสัชศาสตร์ ประเทศออสเตรเลีย ร่วมกับวิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต จัดประชุมวิชาการ คอมพลีเมนทารี เมดิซีน อิน ฟาร์มาซี แพรกทีซ รีเสิร์ช อัพเดต แอนด์ แอพพลิเคชั่น ส่งเสริมให้ความรู้เภสัชกร เพื่อให้ใช้อย่างถูกต้อง
ดร.เลสลีย์ บราวน์ ผู้อำนวยการสถาบันแบลคมอร์ส สำนักงานใหญ่ เผยว่า ปัจจุบัน เภสัชกรมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น ไม่เฉพาะเรื่องยา เพราะประชาชนหันมาใส่ใจเรื่องการดูแลสุขภาพ จากการรวบรวมข้อมูลโดย มาโย คลินิค ในปี 1998-2006 สหรัฐอเมริกา คนไข้กว่า 80,000 ราย พบว่าการรับประทานสมุนไพรไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกาย และไม่พบปัญหาที่ตับ
ขณะที่การทานยาพาราเซตามอลและใช้ยาปฏิชีวนะจะส่งผลต่อตับ พบได้ 5.7 รายต่อปี นอกจากนี้ ข้อมูลของไทยยังเผยอีกว่า ผู้หญิงมีการรับประทานผักผลไม้ เฉลี่ย 283 กรัมต่อวัน ผู้ชาย 268 กรัมต่อวัน จากคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่ 400 กรัมต่อวัน โดยกระบวนการทำอาหารอาจทำให้สูญเสียวิตามินต่างๆ ไป โดยเฉพาะวิตามินบีและซี
ผู้อำนวยการสถาบันยังเผยข้อมูลอีกว่า การที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ อาจมาจากทั้งพฤติกรรม การใช้ยารักษาโรคประจำตัว หรือสภาวะต่างๆ เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ ร่างกายก็จะขับวิตามินต่างๆ ออกจากร่างกายมากขึ้น เกิดปัญหาขาดวิตามิน ใช้ยารักษาโรคความดันโลหิต ทำให้เกิดการขาดธาตุสังกะสี ผู้ป่วยใช้ยาลดกรด ทำให้ขาดธาตุแมกนีเซียม หรือหญิงตั้งครรภ์ จะมีปัญหาการขาดธาตุเหล็ก ไอโอดีนและวิตามินดี ส่งผลต่อการพัฒนาการตัวอ่อนของทารก
รวมถึงเด็กไทยมากกว่า 50% ยังมีภาวะขาดแคลเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี วิตามินเอและซี ดังนั้น เภสัชกรจึงมีหน้าที่สำคัญ เพราะการหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตอาจมีความคลาดเคลื่อน ต้องสอบถามประวัติอย่างละเอียด เพราะยาบางตัวอาจไปลดหรือเพิ่มการทำงานของยาต่างๆ อาทิ โคเอนไซม์คิวเท็น ที่ไปเพิ่มประสิทธิภาพของยาลดความดันโลหิต และยังช่วยบรรเทาอาการไมเกรนอีกด้วย
เจาะลึกเรื่องสุขภาพ
