วันที่ 13 มกราคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะหุ้นวันนี้ว่า หุ้นเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ1,580.63 จุด ปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 1,585.66 จุด ก่อนปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,586.16 ปรับเพิ่มขึ้น 5.53 จุด หรือ0.35% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,588.79 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,579.34 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่65,020.40 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 1,240.58 ล้านบาท นักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 1,029.66 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 227.45 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ซื้อสุทธิ438.38 ล้านบาท
โดยนายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชียพลัส จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปิดปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน ที่ส่วนใหญ่ปิดตลาดในแดนบวก ยกเว้นออสเตรเลีย และมาเลเซียที่ปิดลบ โดยมีแรงสนับสนุนจากการบรรลุข้อตกลงสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ที่คาดว่าจะมีการลงนามเซ็นสัญญาร่วมกันอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 13-15 มกราคม 2563 ที่กรุงวอชิงตันดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกาส่วนปัญหาความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอิหร่านก็เริ่มคลายตัวลง จึงเป็นแรงสนับสนุนให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น
“หุ้นที่ปรับตัวขึ้นในวันนี้เป็นกลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และขนส่ง อาทิ เอโอที ขณะที่หุ้นปรับตัวลงเป็นกลุ่มค้าปลีก โรงพยาบาล อาทิ ซีพีออลล์ บีดีเอ็มเอส ท็อป และพีทีทีจีซี โดยปัจจัยที่ต้องติดตามต่างประเทศ ได้แก่ การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของจีนในวันศุกร์นี้ (17 มกราคม) ซึ่งคาดว่าจะเติบโตประมาณ 6% ส่วนปัจจัยในประเทศให้น้ำหนักไปที่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยกระทรวงการคลังได้เสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชิมช้อปใช้เฟส 4 ด้วยการเปิดให้ร้านค้าสะดวกซื้อ อาทิ เซเว่น อีเลฟเว่น เทสโก้ โลตัส สามารถเข้าร่วมโครงการได้มากขึ้น จากเดิมในเฟส 1 – 3 มีการจำกัดบางสาขาให้ร่วมโครงการ ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับกลุ่มธุรกิจค้าปลีกเพิ่มขึ้น สำหรับกลยุทธ์ที่แนะนำในการลงทุนคือ เน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และให้ผลตอบแทนดี โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,565 – 1,600 จุด” นายฐกฤต
