นักวิชาการ ชี้จับตา ‘บรรทัดฐาน’ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยคดี ส.ส.เสียบบัตรแทน

นักวิชาการ ชี้จับตา ‘บรรทัดฐาน’ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยคดี ส.ส.เสียบบัตรแทน

เมื่อวันที่ 21 มกราคม นายบรรณ แก้วฉ่ำ นักวิชาการด้านกฎหมายการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองท้องถิ่น โพสต์แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วน ตัวกรณีการเสียบบัตรลงมติแทนในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะอ้างเหตุผลอภินิหารทางกฎหมาย ลบล้างแนววินิจฉัยเดิมของตนอย่างไร เรื่องนี้เกี่ยวกับความเชื่อมั่นต่อประเทศ สุดท้ายก็จะต้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเพียงแค่ตั้งสอบของประธานสภาผู้แทนราษฎรผลจะสรุปออกมาอย่างไรก็ไม่เป็นที่ยุติ เนื่องจากที่ผ่านมามีการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้แล้ว

ครั้งนี้ จึงน่าติดตามว่า รัฐบาลจะสะดุดขาตนเอง หรือตายน้ำตื้นหรือไม่ ที่สำคัญคือที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย “ผูกพันตนเอง” ไว้แล้ว

กรณีนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง ไม่ใช่เรื่องรับสารภาพ แต่เป็นจำนนด้วยหลักฐาน ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่ามีการเสียบบัตรลงมติในขณะที่นายฉลองไม่ได้อยู่ในห้องประชุม โดยพฤติกรรมซึ่งมีคนอื่นเสียบบัตรลงมติแทน แค่บัตรคาอยู่ตามข้ออ้างฟังไม่ขึ้น เพราะมีการโหวตเป็นคะแนนให้ฝ่ายรัฐบาลด้วย ทั้งผู้กระทำแทนดังกล่าว ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนอื่นนอกจาก ส.ส.ด้วยกัน และแน่นอนว่าจะต้องเป็น ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ยิ่งนายฉลองปฏิเสธว่าไม่ใช่ผู้ใช้ให้กระทำ หรือรู้เห็นเป็นใจ กรรมก็ยิ่งตกหนักแก่ ส.ส.ผู้ที่เสียบบัตรแสดงตนแทน ที่จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

นอกจากนั้นอาการที่สอดบัตรแสดงตนและลงมติเป็นคะแนนโดยเท็จว่าเป็นความเห็นของนายฉลองที่ลงมติดังกล่าว ที่มีผลต่อมติรวมของสภาผู้แทนราษฎร ยังมีผลต่อการใช้จ่ายเงินงบประมาณของประเทศนี้ ผมเห็นว่ายังมีลักษณะเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ ตามความในมาตรา 14 (2) ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2560

Advertisement

อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นความผิดของผู้กระทำ แต่ผลต่อร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่จะต้องนำไปสู่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

เหตุผลสำคัญของศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นบรรทัดฐานผูกพันศาลเอง ในกรณีนายนริศร ทองธิราช เสียบบัตรลงมติแทน ส.ส.อื่น ในการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับการเงิน สมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดเจน

ศาลพิจารณาพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน ฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติได้ว่า นายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ได้ใช้บัตรแสดงตนและออกเสียงลงคะแนนแทน ส.ส.รายอื่น ในการประชุมสภา เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2556 พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. … ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 และ 126 ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 2 เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. … ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

Advertisement

พฤติกรรมของนายนริศร ที่ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์หลายใบเสียบในช่องลงคะแนนและแสดงตน เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการใช้สิทธิออกเสียง ที่ ส.ส. 1 คนย่อมมีสิทธิออกเสียงเพียง 1 เสียง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 126 วรรคสาม กำหนด นอกจากนั้นแล้ว พฤติกรรมนั้นยังถือเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็น ส.ส. ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ภายใต้อาณัติ หรือการครอบงำใด รวมถึงต้องปฏิบัติตนด้วยความชื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย

จึงต้องติดตามดูว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะสร้างอภินิหารทางกฎหมายที่จะช่วยรัฐบาล คสช.ไม่ให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย 2563 ตกเป็นโมฆะ มีผลไม่ต่างจากสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ได้อย่างไร ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญถึงกับจะต้องกลับแนวคำวินิจฉัยของตนเองให้นักกฎหมายในประเทศนี้ตะลึงตามๆ กัน ด้วยเหตุผลเช่นไร เพราะหลังจาก คสช.เข้ามา เราได้เห็นคำวินิจฉัยทั้งขององค์กรอิสระและของศาลรัฐธรรมนูญ อันแปลกประหลาดเหลือเชื่อแล้วมากมาย ถึงขนาดที่ต้องเผาตำรากฎหมายที่มีอยู่ในสากลจักรวาลนี้ทิ้ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image