“จุรินทร์” ถกเอสเอ็มอี เร่ง9มาตรการดันค้าชายแดนตอนบน หอค้าไทยชี้โอกาสโตอีก7%(ชมคลิป)

ที่กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังประชุมบูรณาการเพื่อยกระดับเอสเอ็มอีในภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก เพื่อบุกตลาดซีแอลเอ็มวี(กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ร่วมกับภาคเอกชน ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ และพาณิชย์จังหวัด รวม 82 ราย  ว่า เป็นการหารือในการออกแนวทางลดอุปสรรคของภาคเอกชน สร้างศักยภาพผู้ประกอบการ และร่วมกันผลักดันการค้าชายแดนและค้าผ่านแดน เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการส่งออกของไทยให้บรรลุเป้าหมาย โดยได้ข้อสรุปร่วมกันที่จะผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรม 9 มาตรการ ประกอบด้วย  1. รวบรวมปัญหาและอุปสรรคที่เป็นคอขวดว่าติดอยู่ที่หน่วยงานใด จนกระทบต่อค้าชายแดน โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการโดยเร็วและนำมาเสนอที่ประชุมในครั้งต่อไป  2. เตรียมจัดคณะตัวแทนกระทรวงพาณิชย์และผู้ประกอบการไปสำรวจตลาดและเจรจาการค้ากับเมืองรองๆของแต่ละประเทศด้วย เช่น เวียดนาม ไม่ไปแค่โฮจิมินห์ จะไปฮานอย และ ดานัง ด้วย เป็นต้น

นายจุรินทร์ กล่าวว่า 3.เพิ่มความถี่ในการจัดกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจตามชายแดนและในกลุ่มซีแอลเอ็มวี 4. เร่งรัดการเจรจากับจีนในเรื่องการส่งสินค้าโดยเฉพาะผลไม้ข้ามแดนจากภาคอีสานของไทย เช่น ด่านมุกดาหาร ด่านนครพนม เพื่อให้การส่งออกผ่านประเทศลาวและเวียดนามไปสู่จีนตอนใต้ให้ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังมีปัญหาอุปสรรคบางประการเรื่องข้อตกลงระหว่างประเทศ ดังนั้นเดือนกุมภาพันธ์นี้จะเร่งรัดเจรจากับหน่วยงานรัฐบาลจีนที่รับผิดชอบด้านศุลกากรเพื่อหารือข้อตกลงร่วมกันในการส่งออกผลไม้ผ่านด่านนครพนม 5. จัดคาราวานส่งออกตามแนวชายแดน เพื่อเปิดโอกาสให้นักธุรกิจท้องถิ่นและสินค้าไทยที่มีศักยภาพที่จะดึงผู้นำเข้าทั้งปลีกและส่งข้ามแดนมาซื้อสินค้าจากไทยไปยังประเทศนั้นๆได้สะดวกขึ้น และอำนวยความสะดวกครบวงจรทั้งในการเจรจากับฝ่ายตรงข้ามในเรื่องประชาสัมพันธ์และการเจรจาเพื่อเปิดด่านให้ยาวนานเป็นพิเศษเช่น เปิดทั้ง 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 3 วันติดกัน เป็นต้น

นายจุรินท์ กล่าวต่อว่า 6.สร้างศูนย์กระจายสินค้าชายแดนและศูนย์กระจายสินค้าข้ามแดนเพื่อความสะดวกในการกระจายสินค้าไทยไปยังประเทศที่สามหรือในประเทศนั้นๆ ให้ได้มากขึ้น ขณะนี้หอการค้าได้ข้อเสนอว่าจุดหนึ่งที่มีศักยภาพคือบ่อเต็น โดยกระทรวงพาณิชย์ จะพิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินการ โดยมีหลักการว่ารัฐบาลไม่เข้าไปลงทุนเอง แต่เอกชนเป็นผู้นำและใช้ศักยภาพที่มีอยู่ 7.เร่งรัดในการสนับสนุนให้มีการนำสินค้าท้องถิ่นของไทยให้มีโอกาสไปขึ้นแพล็ตฟอร์มระดับสากลมากขึ้น และจะเร่งรัดความร่วมมือระหว่าง Thaitrade.com ของกระทรวงพาณิชย์และ Kha-leang.com ซึ่งเป็นแพล็ตฟอร์มที่เป็นที่นิยมอย่างมากในกัมพูชา เป็นต้น และจะขยายต่อไปในอนาคต

8. การส่งเสริมสินค้าโอท้อปที่สนามบินเพื่อส่งไปยังซีแอลเอ็มวี ซึ่งจะมีการเจรจากับการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อสินค้าโอท้อปไม่จำเป็นต้องหิวขึ้นเครื่องบินไปโดยตรง หากซื้อในปริมาณมาก แต่สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้และจัดส่งตามไปทีหลัง และ9.กระทรวงพาณิชย์จะจัดอบรมให้ความรู้กับผู้ส่งออกรุ่นใหม่ให้มีศักยภาพอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิตการสร้างแบรนด์ และการทำตลาดซีแอลเอ็มวี

Advertisement

“ เร็วๆนี้จะมีการประชุมหารือในลักษณะเดียวกันนี้กับผู้ประกอบการและพาณิชย์จังหวัดภาคตะวันตกและภาคใต้ เชื่อว่าทั้ง 9 มาตรการหรือจะเรียกว่าเป็นยา 9 ขนานก็ได้ จะมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนได้มาก ส่วนตัวเลขจะมีการประเมินกันอีกครั้ง ซึ่งในหลายเรื่องสามารถดำเนินการได้ทันทีหลังสภาผ่านความเห็นชอบด้านงบประมาณ ส่วนกรณีว่าจะเป็นโมฆะหรือไม่นั้น ก็ไม่อยากให้ประเทศได้รับผลกระทบหากงบประมาณจะล่าช้าออกไป ซึ่งต้องรอดุลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ “นายจุรินทร์ กล่าว

นายนิยม ไวยรัชพานิช รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า มาตรการเร่งด่วนที่เอกชนเสนอ คือ รัฐต้องเร่งเรื่องการอำนวยความสะดวก ทั้งในเรื่องเพิ่มด่านการค้า โดยเฉพาะการยกระดับจากด่านธรรมชาติที่มีกว่า 100 แห่งทั่วไปเป็นด่านชั่วคราว เพิ่มจุดกระจายสินค้าเพื่อลดต้นทุนการค้าตามชายแดน ควบคุมค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนและตรึงในระดับ 31-32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จะเหมาะสมที่สามารถแข่งขันได้กับซีแอลเอ็มวี ซึ่งเอกชนยังมั่นใจว่าการค้าชายแดนและค้าผ่านแดนไทยจะขยายตัวได้ 7%

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image