ดีเอสไอจ่อชง 6 ประเด็นเห็นแย้งคดีฆ่าบิลลี่ เสนออัยการสูงสุดชี้ขาด ตั้งข้อสงสัยอัยการ

ดีเอสไอจ่อชง 6 ประเด็นเห็นแย้งคดีฆ่าบิลลี่ เสนออัยการสูงสุดชี้ขาด ตั้งข้อสงสัยอัยการพิจารณาข้อมูลนอกสำนวน เผย อยากให้พิสูจน์ข้อเท็จจริงชั้นศาลเพื่อเป็นข้อยุติ

 

ตามที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 สั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) ปัตตานี และอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน นายบุญแทน บุษราคัม นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ในข้อหาร่วมกันฆ่านายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ต่อมาอัยการได้แถลงชี้แจงถึงเหตุผลที่สั่งไม่ฟ้องตามที่เสนอข่าวไปก่อนหน้านั้น

เมื่อวันที่ 28 มกราคม รายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษแจ้งว่า ชุดพนักงานสอบสวนได้สรุปความเห็นแย้งอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็น 6 ประเด็น เพื่อเสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณาความเห็น โดยมี

1.ประเด็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่อัยการอธิบายความเห็นเกี่ยวกับให้ดีเอ็นเอไมโทคอนเดรีย ซึ่งการรับฟังข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวนั้นไม่ใช่การใช้ดุลพินิจที่รับฟังพยานหลักฐานแตกต่างจากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ แต่เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงตามพยานหลักฐานในสำนวน เนื่องจากข้อเท็จจริงของอัยการไม่มีการอ้างอิงว่ารับฟังในประเด็นนี้เอามาจากพยานผู้เชี่ยวชาญหรือพยานหลักฐานส่วนใดในสำนวน เป็นข้อมูลที่อยู่นอกสำนวน เพราะผู้ต้องหาไม่ได้ให้การขั้นสอบสวน

Advertisement

2.ประเด็นพยานกลับคำให้การ ที่อัยการระบุว่าไม่น่าเชื่อถือ แต่ขณะเดียวกันตามความเห็นของอัยการกลับเชื่อว่าผู้ต้องหาทั้งหมดได้ปล่อยตัวนายพอละจีไปแล้วหลังจับกุม ซึ่งย้อนแย้งกันเอง

3.ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ เบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 147 และฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 148 ที่พนักงานอัยการเห็นว่า ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้งสี่เอาทรัพย์ของนายพอละจีไป และเห็นว่าผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ได้ใช้อำนาจข่มขืนใจนายพอละจีนั้น ในคดีนี้มีพยานบุคคลยืนยันอย่างชัดเจนว่าผู้ต้องหาทั้งหมดได้จับเอาตัวนายพอละจีไปพร้อมทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายของนายพอละจี

4.การกล่าวอ้างคำสั่งศาลจังหวัดเพชรบุรี ทั้งนี้ คำสั่งศาลดังกล่าวเป็นการมีคำสั่งตามที่มีการยื่นคำร้องขอให้ปล่อยตัวนายพอละจี ตาม ป.วิอาญา มาตรา 90 ซึ่งมีประเด็นแห่งคดีคนละประเด็นกับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่และคดีฆาตกรรมในคดีนี้ และข้อเท็จจริงในขณะนั้น ผู้ร้องไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่านายพอละจีอยู่ในความควบคุมของผู้ต้องหาทั้งหมด ศาลจึงมีคำสั่งยกคำร้อง มิใช่คำสั่งว่าผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ได้กระทำผิดอาญาแต่อย่างใด ดังนั้น ความเห็นของพนักงานอัยการที่กล่าวอ้างคำสั่งศาลจังหวัดเพชรบุรี โดยไม่ฟังข้อเท็จจริงอันสำคัญที่ได้จากการสอบสวนในภายหลังจึงไม่ถูกต้อง

Advertisement

5.การพิสูจน์การฆ่า ซึ่งพนักงานอัยการอ้างว่าไม่มีประจักษ์พยานเห็นการฆ่า และไม่อาจนำคดีฆ่าหมอผัสพรมาเทียบเคียงได้เนื่องจากข้อเท็จจริงไม่ตรงกันนั้น เห็นว่าคดีนี้มีหลักในการพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาในทำนองเดียวกันกับคดีฆ่าหมอผัสพร ซึ่งเป็นที่รับรู้กันทั่วไปของสังคมและควรนำคดีฆ่าหมอผัสพรมาเทียบเคียงเป็นกรณีศึกษาในการพิสูจน์การกระทำผิดในคดีนี้ เนื่องจากในคดีฆ่าหมอผัสพรไม่มีประจักษ์พยานเห็นการฆ่าและไม่พบศพเช่นเดียวกับคดีนี้ โดยในคดีฆ่าหมอผัสพรพิสูจน์การตายด้วยชิ้นเนื้อซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญและมีแพทย์ยืนยันการเสียชีวิต เช่นเดียวกับคดีนี้ที่พิสูจน์การตายโดยชิ้นส่วนกระดูกอันสำคัญ โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยืนยันประกอบพยานเครือญาติดังที่กล่าวมาข้างต้น

6.คดีนี้ผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ยอมให้การโต้แย้ง หรือกล่าวอ้างพยานหลักฐานใดในชั้นสอบสวนเห็นว่าคดีนี้ตามคำให้การของผู้ต้องหาทั้งหมดในชั้นสอบสวน เห็นได้ชัดว่า พนักงานสอบสวนได้พยายามสอบถาม เพื่อให้โอกาสแก่ผู้ต้องหาทั้งหมดที่จะแสดงข้อเท็จจริง แต่ผู้ต้องหาทั้งหมดก็มิได้ให้การกล่าวอ้างข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานใดเพื่อหักล้างข้อเท็จจริงที่กล่าวหาตน อันถือได้ว่าเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยของสุจริตชนทั่วไป

และเมื่อไม่มีข้อเท็จจริงที่ผู้ต้องหาทั้งหมดได้กล่าวอ้างเพื่อหักล้าง คงมีแต่ข้อเท็จจริงที่รับฟังตามพยานหลักฐานทางการสอบสวน ทั้งพยานทางวิทยาศาสตร์ พยานบุคคล พยานวัตถุ และพยานเอกสารหลายรายการ โดยพยานส่วนหนึ่งผ่านการพิจารณาของศาลทุจริตและประพฤติมิชอบจนอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมดทุกข้อกล่าวหา ฉะนั้น การรับฟังข้อเท็จจริงจึงควรต้องรับฟังตามพยานหลักฐานดังกล่าวที่กล่าวสรุปไว้ตามรายงานการสอบสวน

 

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image