เวลา 11.00 น. วันที่ 29 มกราคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะหุ้นวันนี้ว่า หุ้นเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ 1,513.26 จุดเคลื่อนไหวในแดนบวก ที่ระดับ 1,524.25 จุด ปรับลดลง 10.99 จุด หรือ 0.73% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,528.14 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,519.62 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 18,935.35 ล้านบาท
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่าภาพรวมตลาดหุ้นในช่วงเช้า เปิดตลาดฟื้นตัวขึ้น ตามหลังราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น โดยในเชิงกลยุทธ์ หลังจากแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนรอบใหม่ ที่ระดับ 1,500-1,520 จุด ไปในช่วงวานนี้ (28 มกราคม 2563) แนะนำให้ถือครองหุ้นในส่วนดังกล่าวต่อได้ จากการปรับระดับลงในมิติของการประเมินมูลค่าหุ้นที่จำกัดมากขึ้น โดยยังคงมองว่ากลุ่มที่ปลอดภัยในช่วงนี้ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน และกลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร ซึ่งประเมินเป้าหมายแรกของการดีดตัวขึ้น (รีบาวด์) ในระยะสั้นของดัชนีที่ระดับ 1,540 จุด สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามคือ ความคืบหน้าของร่างพ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2563 และการเปิดเผยประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจรอบใหม่จากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ซึ่งคาดว่ามีโอกาสสูงมาก ที่จะมีการปรับลดคาดการณ์การเติบโต ของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2563 ลดลง จากเดิมที่คาดว่าจะโตประมาณ 3.3% โดยน่าจะเป็นการปรับลดในส่วนการลงทุน รวมถึงการส่งออกสินค้าและบริการเป็นสำคัญ
“ต้องติดตามการประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ว่า จะมีการรับคำร้องร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ไว้วินิจฉัยหรือไม่ หลังประธานสภาผู้แทนฯ ได้มีการส่งเรื่องให้วินิจฉัยเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวก่อนหน้านี้ เนื่องจากเกิดกรณีส.ส.เสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน โดยประเมินว่าหากศาลฯไม่รับคำร้องไว้ น่าจะเป็นบรรยากาศในเชิงบวกต่อการลงทุนได้ เพราะความกังวลที่ว่าการเบิกจ่ายงบประมาณจะมีความล่าช้าน่าจะหมดไป ในทางกลับกันหากศาลฯมีการรับคำร้อง มองว่าจะเป็นปัจจัยกดดันต่อกลุ่มที่เกี่ยวข้องต่อไป อาทิ กลุ่มรับเหมา ก่อสร้างฐานราก และวัสดุก่อสร้าง นิคมฯ และคาดว่าหน่วยงานต่างๆ จะออกมาปรับลดประมาณการเศรษฐกิจของไทยในปี2563 มากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้คาดการว่า การใช้จ่ายภาครัฐจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ในปีนี้ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้คาดการว่าการลงทุนของภาครัฐจะโตถึง 6.3% ซึ่งความล่าช้าของการลงทุนภาครัฐนี้ จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการลงทุนภาคเอกชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”นายณัฐชาตกล่าว
