นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวถึงกรณีหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เข้ามาหารือร่วมกับนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และขอปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบิน(น้ำมันเจ็ท) จากปัจจุบันเก็บที่ 4.7 บาท/ลิตร จากก่อนหน้านี้เมื่อปี 2560 เคยเก็บ 0.20 บาท/ลิตร ซึ่งทำให้ต้นทุนภาษีเพิ่มขึ้นประมาณ 23%ว่า กรมสรรสามิตยังไม่ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานดังกล่าว อย่างไรก็ตามหากกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วว่าการปรับลดภาษีน้ำมันจะเป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวของไทยที่ปัจจุบันได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา กรมสรรพสามิตก็ไม่ขัดข้อง เนื่องจากในแต่ละปีจัดเก็บรายได้ในส่วนนี้เพียงปีละ 2,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งตามข้อเท็จจริงสามารถลดได้ และไม่กระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิต
“กรมสรรพสามิตเพิ่งเริ่มจัดเก็บภาษีน้ำมันเจ็ท เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากราคาน้ำมันดังกล่าวต่างจากน้ำมันที่ขายทั่วไป อย่างไรก็ตามหากมีการปรับลดภาษีน้ำมันดังกล่าวจะต้องมีกำหนดช่วงเวลาในการปรับลดที่ชัดเจน โดยจะปรับลดเฉพาะเครื่องบินที่บินในประเทศเท่านั้น ”นายพชร กล่าว
นายพชร กล่าวว่า ในเรื่องการดูแลปัญหาเรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสั่งการให้กรมสรรพสามิตไปศึกษาว่าจะออกมาตรการทางภาษีเพื่อดูแลในเรื่องนี้ได้เพิ่มเติมหรือไม่ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตออกมาตรการลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากเดิม 2% ให้เหลือ 0% ภายในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดตัวรถยนต์ดังกล่าวในช่วงเดือนเมษายน นอกจากนี้ ยังมีการจัดเก็บภาษีมอเตอร์ไซค์ตามปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมีผลตั้งแต่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา เชื่อว่ามาตรการออกมาก่อนหน้านี้จะช่วยดูแลปัญหาฝุ่นในประเทศให้ลดน้อยลงได้ แต่อาจจะไม่เห็นผลในทันที
“การเก็บภาษีจากโรงงานที่ปล่อยไอเสียที่มาจากการเผานั้น กรมโรงงานอุตสาหกรรมและกรมมลพิษเป็นผู้รับผิดชอบเก็บภาษีในอัตราสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว ถ้าหากจะให้กรมสรรพสามิตไปจัดเก็บภาษี คงไม่ค่อยตรงกับหน้าที่ของกรมสรรพสามิตเท่าใดนัก เพราะกรมสรรสามิตเก็บภาษีจากของที่ผลิตออกมาขายเท่านั้น สิ่งที่ทำได้คงเป็นการให้ประโยชน์ทางภาษีในด้านอื่น เช่น การให้ประโยชน์ทางภาษีในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เป็นต้น นอกจากนี้หากมีการเก็บภาษีจริงก็จะต้องมีมาตรการช่วยเหลือด้วย ไม่ใช่จะไปเก็บอย่างเดียวเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม”นายพชร กล่าว
