นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยในรายการคลุกวงหุ้นว่า มองภาพรวมตลาดหุ้นในส่วนของกรอบดัชนี ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 มีค่อนข้างจำกัด โดยเชื่อว่าดัชนีจะไต่ระดับขึ้นได้เต็มที่ ประมาณ 1,550 จุด ซึ่งเป็นระดับที่รวมผลกระทบของอัตรากำไรต่อหุ้นแล้ว จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีมติในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งล่าสุด โดยหากไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เชื่อว่าดัชนีจะไต่ระดับขึ้นไม่ถึง 1,550 จุดแน่นอน จึงมองว่าในช่วงที่เหลือของเดือนกุมภาพันธ์นี้ หากดัชนีสามารถไต่ระดับขึ้นไปถึง 1,550 จุด ให้เน้นขายทำกำไรออกมาก่อน ส่วนแนวรับให้ไว้ในระดับทางจิตวิทยาที่ 1,500 จุด
นายณัฐชาตกล่าวว่า ปัจจัยที่ต้องติดตามและให้น้ำหนักมาในช่วงนี้คือ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งเป็นปัจจัยอันดับ 1 ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยผลกระทบของโรคระบาดดังกล่าว ล่าสุดเริ่มเห็นการส่งสัญญาณของธปท. เริ่มจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ธปท.เริ่มมีความเป็นห่วงต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในขณะนี้เช่นเดียวกัน รวมถึงยังได้ออกมาเปิดเผยว่า ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทย ในไตรมาส 1 ของปี 2563 มีโอกาสที่จะโตได้ไม่ถึง 1% บวกกับจีดีพีรวมทั้งปี 2563 อาจลงไปถึง 1.3% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำมาก หากเทียบกับประมาณการเศรษฐกิจเดิม ที่คาดว่าจะโตได้ 2.8% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากรายได้ภาคการท่องเที่ยว สูญหายกว่า 2.5 แสนล้านบาท
“จีดีพีที่โดนกดดันหนักๆ จะส่งผลกระทบต่อมายังตลาดหุ้นผ่าน 2 ช่องทาง คือ 1.ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ที่จะถูกลดท่อนลงไป และ 2.ทิศทางเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ที่จะยังไม่ไหลเข้ามาในระยะสั้น สำหรับกลยุทธ์ที่แนะนำในการลงทุนคือ กรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,500-1,550 จุด คงต้องเน้นไปที่การซื้อและขาย โดยหากสามารถขึ้นไปถึง 1,550 จุดได้ เน้นให้ขายทำกำไรออกมาเป็นสำคัญ รวมถึงอาจสามารถทำการขายก่อนแล้วซื้อคืนทีหลังได้ ส่วนในทางกลับกัน หากดัชนีหุ้นไทยปรับระดับลงลึกถึง 1,500 จุด หรือหลุดระดับ 1,500 จุดอีกครั้ง ในระยะสั้น หากนักลงทุนยังไม่มีหุ้นสะสม สามารถเข้าซื้อ เพื่อเก็งกำไรในช่วงที่ดัชนีดีดกลับขึ้นได้”นายณัฐชาตกล่าว
ส่วนหุ้นเด่นจะเป็นตัวไหน ต้องติดตามในรายการคลุกวงหุ้น!
