‘ภากร’ เผยหุ้นไทยร่วงสู่ระดับ 1,382.48 จุด ทำจุดต่ำสุดใหม่รอบ 3 ปีครึ่ง

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงแล้วกว่า 50 จุด ทำสถิติปรับลงทดสอบจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,382.48 ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบประมาณ 3 ปีครึ่ง นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 ที่เคยปรับลดลงไปที่ระดับ 1,261 จุด ซึ่งตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงแล้ว 9% โดยจะเห็นว่าดัชนีปรับลดระดับติดต่อกันต่อเนื่องตลอด 3 วัน เป็นจำนวนกว่า 100 จุด แต่ยังเห็นบางช่วงที่สามารถดีดตัวกลับขึ้นมาได้บ้าง โดยสาเหตุหลักของการ ที่ดัชนีหุ้นเคลื่อนไหวในแดนลบมาจากความกังวลของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับหุ้นกลุ่มบริการและธุรกิจท่องเที่ยว แต่ยังมีบางกลุ่มที่เป็นบวก อาทิ กล่มธุรกิจการเกษตร ของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน โดยการปรับลดลงดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก อาทิ ตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับลดลงถึง 800 จุด หรือลดลง 3.15% และเป็นการปรับลงติดต่อกัน 4 วัน ขณะที่ภาพรวมของตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีทิศทางเดียวกัน ทำให้การปรับลงดังกล่าวเป็นผลจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบทั้งโลก หรือเกิดจากปัจจัยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเทศไทยเท่านั้น

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ได้ส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว และขนส่ง แต่ยังพบว่าการระบาดครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลเชิงลบต่อหุ้นในทุกกลุ่ม เพราะเห็นว่าบางกลุ่มดัชนียังสามารถยืนในแดนบวกได้ อาทิ เงินทุนและหลักทรัพย์ ของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน กระดาษและวัสดุการพิมพ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยหากดูข้อมูลในอดีตจากสถิติพบว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงขึ้น จะใช้เวลา 3 เดือน ดัชนีหุ้นไทยจึงจะสามารถดีดกลับ ยกเว้นในกรณีที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม จนส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งใช้เวลาปรับขึ้นค่อนข้างช้า โดยตลท.ประเมินว่าหลังประเด็นการระบาดของไวรัสคลี่คลายลง ตลาดหุ้นไทยจะสามารถฟื้นตัวกลับมาบวกได้อีกครั้ง รวมถึงแต่ละปีดัชนีก็มีการเคลื่อนไหวขึ้นลงประมาณ 250-350 จุด เป็นเรื่องปกติขณะที่การปรับลงครั้งนี้มีการเคลื่อนไหวเพียง 180 จุดเท่านั้นนายภากรกล่าว

นายภากรกล่าวว่า หากหมดความกังวลของไวรัสไปแล้ว เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะกลับมาบวกได้อีก เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยดี หนี้สาธารณะอยู่ในระดับต่ำ และทุนสำรองระหว่างประเทศยังมีสูง แม้จะมีความเสี่ยงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในทิศทางชะลอตัวลง แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทยในตลาดหลักทรัพย์ฯ เนื่องจากบจ.ในตลาดหลักทรัพย์ฯมีธุรกิจที่หลากหลาย รวมถึงมีการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศอีกด้วย ในส่วนของทิศทางเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ที่ยังอยู่ในสถานะขายสุทธิเชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ฯมีสภาพคล่องค่อนข้างสูง รวมถึงนักลงทุนต่างชาติก็ไม่ได้ขายหุ้นไทยออกเพียงขาเดียว แต่ยังมีการสลับเข้าซื้อสุทธิในแต่ละวันด้วย โดยในภาวะที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงในขณะนี้ ก็ส่งผลให้นักลงทุนปิดความเสี่ยง และหันไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้ของไทยแทน สะท้อนจากผลตอบแทนพัธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่ลดลงต่ำลงมาอยู่ที่ 1%

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลท. กล่าวว่า ในปัจจุบันมีบจ.ทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 4/2562 และงวดทั้งปี 2562 แล้วประมาณ 330 ราย หรือคิดเป็น 40% ของบจ.ในตลาดหลักทรัพย์ฯทั้งหมด ซึ่งเบื้องต้นพบว่า กำไรสุทธิปรับลดลงเล็กน้อยเหมือนกับ 3 ไตรมาสในปี 2562 แต่ยังแนะนำให้ติดตามแนวโน้มกำไรของบจ.ทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2563 โดยหลังจากเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนา ตลาดหลักทรัพย์ฯและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (...) ได้ร่วมกันออกแนวทางช่วยเหลือบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส โดยให้ส่งงบได้ล่าช้ากว่าปกติ แต่งบการเงินทั้งหมดน่าจะออกมาได้ทันก่อนเดือน เมษายน 2563 ทำให้แนวโน้มกำไรบจ.จะมีทิศทางอย่างไร น่าจะได้เห็นตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมนี้ รวมถึงยังต้องติดตามดูการรายงานผลประกอบการบจ. ในไตรมาส 1/2563 ด้วยว่าจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด เพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้ง

Advertisement

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่

เพิ่มเพื่อน

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image