นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือแคท และ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็น บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด หรือ เอ็นที ว่า ได้มอบนโยบายถึงรายละเอียดและกรอบการทำงานให้คณะทำงานควบรวมแล้วก่อนที่คณะทำงานควบรวมประชุมเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2563 ซึ่งพบว่าการควบรวมครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในการควบรวมรัฐวิสาหกิจ จึงต้องมีขั้นตอนการควบรวมตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เพิ่มเติมในกระบวนการ และต้องมีตัวแทนจากกระทรวงแรงงานเข้ามาอยู่ในคณะทำงานควบรวมด้วย
นางสาวอัจฉรินทร์ กล่าวว่า ส่วนประเด็นว่าจะใช้ มหาชน ในชื่อบริษัทใหม่หรือไม่นั้นอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อขอมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้เป็น บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ตามบริษัทแม่ ซึ่งคาดว่าจะไม่มีปัญหา เพราะในความเป็นจริงการเสนอชื่อต่อ ครม. ระบุแค่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ ไม่มีคำว่า จำกัด หรือ มหาชน และยังไม่ได้จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแต่อย่างใด แต่เพื่อความชัดเจนจำเป็นต้องเสนอ ครม. เพื่อเห็นชอบอีกครั้ง
นอกจากนี้ เรื่องทรัพย์สินของทั้ง 2 บริษัท ก็ไม่จำเป็นต้องตีมูลค่าว่าเป็นจำนวนเท่าไร เพราะการควบรวมครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนชื่อของทั้ง 2 บริษัท ทรัพย์สินทั้ง 2 บริษัท ทำการเปลี่ยนชื่อเจ้าของทรัพย์สินได้ เพียงแต่ต้องมีการจดรายการทรัพย์สินให้ละเอียดว่าทั้ง 2 บริษัทมีทรัพย์สินอะไรบ้าง
พ.อ.สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือแคท กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2563 มีการประชุมคณะทำงานควบรวมกิจการชุดใหญ่ครั้งแรก ซึ่งประกอบด้วยคณะทำงาน 3 คณะ ได้แก่ ด้านกฎหมาย ด้านบุคลากร และด้านการเงิน โดยมีการมอบนโยบายแก่คณะทำงานชุดย่อย 13 คณะ เพื่อดำเนินการในส่วนต่างๆ ตามขั้นตอนการควบรวมกิจการ โดยจะรายงานต่อกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และ ครม. ซึ่งมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 กำหนดให้ดำเนินการควบรวมกิจการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน
พ.อ.สรรพชัย กล่าวว่า การประชุมดังกล่าวได้ให้นโยบายร่วมกัน ในการพิจารณาภาพรวมและรูปแบบธุรกิจ โดยเริ่มจากรูปแบบธุรกิจที่ทั้งสองบริษัทมีเหมือนกัน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ก่อนโดยไม่ต้องรอการควบรวมกิจการเสร็จสิ้น เช่น ธุรกิจโมบายล์จะพิจารณาเรื่องการถือครองคลื่นความถี่ เป็นต้น ซึ่งนอกจากนี้ยังมีธุรกิจไฟเบอร์ออฟติก, ธุรกิจเคเบิลใต้น้ำ และธุรกิจคลาวด์ รวมทั้งการให้บริการด้านดิจิทัลในภาคสังคม ตามที่นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส ได้เสนอแนวทางไว้ ซึ่งจะมีการพิจารณาเป็นระยะ เพื่อให้รูปแบบธุรกิจหลังควบรวมกิจการตรงตามความต้องการของผู้บริโภค
“การควบรวมกิจการคืองานหลักของปี 2563 และด้วยขั้นตอนของกฎหมาย ทำให้การจัดทำแผนก่อนหน้านี้ประเมินว่า การควบรวมกิจการจะแล้วเสร็จใน 8 เดือน แต่เมื่อ ครม. มีมติเห็นชอบให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ก็จะพยายามเร่งดำเนินการตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งหากไม่สามารถดำเนินการได้ทันจะชี้แจงต่อ ครม. เพื่อทราบถึงเหตุผลต่อไป” พ.อ.สรรพชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้แหล่งข่าวกระทรวงดีอีเอส ระบุว่า บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด หรือเอ็นที ยังไม่สามารถจดทะเบียนบริษัทได้ เนื่องจากชื่อใหม่ที่ ครม. มีมติเห็นชอบขัดต่อ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 เนื่องจากทั้ง แคท และทีโอที ต่างจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัด แต่บริษัทใหม่ภายหลังควบรวมกิจการกลับไม่ใช่บริษัทมหาชนจำกัด
แหล่งข่าวกล่าวว่า มี 2 แนวทางสำหรับแก้ไขปัญหาดังกล่าว ได้แก่ 1.จดทะเบียนเอ็นที เป็นบริษัทมหาชนจำกัด หรือ 2.ถอดบริษัทมหาชนจำกัด ออกจาก กสท โทรคมนาคม และทีโอที ซึ่งทั้ง 2 แนวทางกระทรวงดีอีเอสต้องนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เพื่อให้มีมติว่าจะเลือกใช้แนวทางใด
ซึ่งหากที่ประชุม คนร. มีมติใช้แนวทางแรก กระทรวงดีอีเอสจะต้องจัดทำข้อมูลเสนอต่อที่ประชุม ครม. เพื่อให้มีมติเห็นชอบอีกครั้ง จากนั้นจึงจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อให้เอ็นทีเป็นบริษัทมหาชนจำกัด แต่หากเลือกแนวทางที่ 2 ทั้ง กสท โทคมนาคม และทีโอที จะต้องจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าใหม่ โดยถอดบริษัทมหาชนจำกัดออก เพื่อให้สอดคล้องกับมติ ครม. ดังนั้น แนวทางนี้จึงไม่ต้องเข้าที่ประชุม ครม. อีก
ทั้งนี้ แหล่งข่าวกล่าวว่า ต้องการให้ใช้แนวทางแรก คือให้เอ็นที เป็นบริษัทมหาชนจำกัด เนื่องจากคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) จะเป็นผู้พิจารณาโครงการต่างๆ แต่หากไม่เป็นบริษัทมหาชนจำกัด การพิจารณาโครงการต้องผ่านสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งอาจทำให้เกิดความล่าช้าในการทำงาน