‘กสทช.’ จ่อถก ‘ธปท.’ ใช้บิลค่ามือถือแทนสเตทเม้นท์ ปล่อยกู้รายย่อย แก้หนี้นอกระบบ

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) เปิดเผยว่า เร็วๆ นี้ กสทช. จะมีการหารือร่วมกับนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึงแนวทางการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้มีรายได้น้อย โดยใช้บิลค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบรายเดือนและเติมเงิน แทนรายงานการเดินบัญชี (สเตทเม้นท์) ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ เพื่อช่วยแก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้เป็นหนี้ในระบบอย่างถูกต้อง อีกทั้ง ช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ชำระค่าบริการตรงเวลา

นายฐากร กล่าวว่า ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวอยู่ภายใต้การบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง สำนักงาน กสทช. และ ธปท. ในการสนับสนุนการดำเนินการด้านวิชาการการศึกษาและวิจัยด้านการกำกับดูแลบริการโทรคมนาคมและบริการทางการเงินที่ใช้เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งหากเห็นชอบในแนวทางร่วมกัน ธปท. จะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการปล่อยสินเชื่อ ขณะที่ กสทช. จะประสานไปยังผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) ในการให้ข้อมูลค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการขอสินเชื่อจะต้องยื่นเอกสารเพื่อขอข้อมูลดังกล่าวกับโอเปอเรเตอร์ จากนั้นจึงยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารประกอบที่ธนาคาร และรอการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อต่อไป

สำหรับยอดผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่รวมของโอเปอเรเตอร์ภาคเอกชน 3 ราย อยู่ที่ 93.2 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็น บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส จำนวน 42 ล้านเลขหมาย ได้แก่ ลูกค้าระบบเติมเงิน 32.9 ล้านเลขหมาย และลูกค้าระบบรายเดือน 9.1 ล้านเลขหมาย ขณะที่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 30.6 ล้านเลขหมาย ได้แก่ ลูกค้าระบบเติมเงิน 22.3 ล้านเลขหมาย และลูกค้าระบบรายเดือน 8.3 ล้านเลขหมาย และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค จำนวน 20.6 ล้านเลขหมาย ได้แก่ ลูกค้าระบบเติมเงิน 14.2 ล้านเลขหมาย และลูกค้าระบบรายเดือน 6.4 ล้านเลขหมาย

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.

“กสทช. คาดการณ์ว่าการขับเคลื่อน 5G จะทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ในปี 2563 มูลค่า 178,361 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.03% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) จากระบบเศรษฐกิจรายภาค เช่น ภาคอุตสาหกรรมการผลิต 31.5% มูลค่า 1,041.04 ล้านบาท ภาคการค้าและการเงิน 16% มูลค่า 529.77 ล้านบาท และภาคโทรคมนาคม 11.6% มูลค่า 381.71% เป็นต้น ซึ่งการร่วมมือกันกับ ธปท. ครั้งนี้ อาจช่วยกระตุ้นให้จีดีพีขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1.05-1.07% ได้” นายฐากร กล่าว

ADVERTISMENT

นายฐากร กล่าวว่า ขณะเดียวกัน ได้รับการประสานจาก บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (ทียูซี) ในเครือบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ว่าจะเข้าชำระเงินค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่ย่าน 2600 เมกะเฮิรตซ์ งวดแรกจำนวน 1,912,399,111 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) หรือคิดเป็น 10% ของราคาค่าใบอนุญาต 19,123,991,110 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) พร้อมรับใบอนุญาต และวางหนังสือค้ำประกัน (แบงก์การันตี) จากธนาคารเพื่อค้ำประกันการชำระเงินค่าใบอนุญาตในส่วนที่เหลือจำนวน 17,211,591,999 ล้านบาท ภายในสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ การชำระค่าใบอนุญาต คลื่นความถี่ย่าน 2600 เมกะเฮิรตซ์ จะแบ่งเป็น 7 งวด ได้แก่ งวดที่ 1 จำนวน 10% และงวดที่ 2-7 จำนวนงวดละ 15% (ปีที่ 5-10) โดยผู้ชนะการประมูลจะต้องขยายโครงข่ายให้ครอบคลุม 50% ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ภายใน 1 ปี และครอบคลุม 50% ของประชากรในเมืองอัจริยะ (สมาร์ทซิตี้) ภายใน 4 ปี

นอกจากนี้ ทียูซี ยังเป็นผู้ชนะการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 26 กิกะเฮิรตซ์ จำนวน 8 ใบอนุญาต รวม 800 เมกะเฮิรตซ์ มูลค่า ล้านบาท 3,827,271,110 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งกำหนดให้ชำระเงินค่าใบอนุญาตเต็มจำนวนภายใน 1 ปีนับจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้งเป็นผู้ชนะการประมูล

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image