ในหลวง พระราชินี ทรงเปิดประชุม โครงการพัฒนาชุมชนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ จ.กาญจนบุรี
เมื่อเวลา 19.43 น. วันที่ 9 มีนาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จ ฯ ไปทรงเป็นประธานเปิดการประชุมโครงการพัฒนาชุมชนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ จังหวัดกาญจนบุรี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ อาคาร บก. หน่วยราชการในพระองค์ 904 (อาคาร 2) พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต โดยมีสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา องค์ประธานกรรมการโครงการ พร้อมด้วยคณะกรรมการโครงการ และกรรมการชุมชนจากพื้นที่โครงการในตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เฝ้าฯ รับเสด็จ
ในการนี้ จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินงานตามโครงการ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2562 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงเป็น องค์ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงดำรงตำแหน่งองค์ประธานกรรมการ
นับจากวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการพัฒนาชุมชนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ฯ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ในฐานะองค์ประธานกรรมการ ได้รับพระราชทานพระบรมราโชบายจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานแนวทางในการทำงานกับประชาชนที่อยู่ห่างไกล โดยเฉพาะอยู่ติดชายแดน และพื้นที่เป็นมรดกโลกที่ต้อง ให้ความสำคัญกับเรื่องการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นหัวใจหลักของความเป็นมรดกโลก โดยให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย และปัญหาเรื่องเส้นทางสัญจรเข้าออกชุมชนที่ทรงทราบว่ามีความยากลำบากในการเดินทาง และเรื่องสุขภาพ ที่สัมพันธ์กับเรื่องเส้นทางสัญจรเป็นลำดับต้นในการดำเนินงาน
ดังนั้น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา จึงนำแนวทางตามพระบรมราโชบายข้างต้น มาทรงงานพัฒนาชุมชนบ้านไล่โว่และบ้านสาละวะ ร่วมกับคณะกรรมการโครงการ และต่อมาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2562 ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุมชนสาละวะ จำนวน 8 ราย และชุมชนไล่โว่ จำนวน 6 ราย ทั้งนี้ เพื่อให้ชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน รวมทั้งนำเสนอข้อมูล ปัญหา ความต้องการในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ เรื่องเส้นทางสัญจร และเรื่องสุขภาพอนามัยของคนในชุมชน ซึ่งเมื่อดำเนินงานไประยะหนึ่ง จึงพบว่า นอกจากเรื่องเส้นทางสัญจรแล้ว ชุมชนต้องได้รับการพัฒนาในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ เรื่องสาธารณูปโภค และเกษตรกรรม
โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ได้ทอดพระเนตรนิทรรศการผลการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านสาธารณสุข ด้านเส้นทางการคมนาคม ด้านสาธารณูปโภค ด้านอาชีพต่าง ๆ จากนั้น ได้พระราชทานพันธุ์ไม้ 2 พันธุ์ คือ มะม่วงมหาชนก และต้นรวงผึ้ง ให้กับนางกะมุ้ย นายวราวุฒิ เกสรพฤกษาทิพย์ ผู้แทนคณะกรรมการชุมชนไล่โว่ นายสุวิทย์ เคียวเซ้ง และนางหน่อพิใจ ผู้แทนคณะกรรมการชุมชนสาละวะ ตามลำดับ
หลังจากนั้น เสด็จ ฯ ไปทรงเปิดการประชุมโครงการพัฒนาชุมชนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ จังหวัดกาญจนบุรี ในพระบรมราชูปถัมภ์ การนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ในฐานะองค์ประธานกรรมการ กราบบังคมทูลพระกรุณารายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการ จากนั้น ทอดพระเนตรวีดีทัศน์สรุปผลการดำเนินงานที่ผ่านมา แล้วทรงมีพระราชดำรัสเปิดการประชุมใจความตอนหนึ่งว่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นแหล่งธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ จนได้รับการประกาศยกย่องให้เป็นแหล่งมรดกโลกของประเทศไทย พื้นที่ดังกล่าว นอกจากจะอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธณรมชาติแล้วยังเป็นที่ตั้งของชุมชนต่างๆ จึงมีคนในพื้นที่อยู่ร่วมกับป่าเป็นจำนวนมาก ในเรื่องคนอยู่ร่วมกับป่านี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เคยพระราชทาน แนวพระราชดำริไว้ เป็นใจความว่า การที่จะรักษาความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ได้อย่างยั่งยืนนั้น จะต้องทำให้คนในชุมชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับป่า และช่วยกันดูแลรักษาป่าให้ดำรงความอุดมสมบูรณ์ไว้ได้ตลอดไป. จึงเป็นที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง ที่ท่านทั้งหลาย ทั้งคณะกรรมการโครงการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ จังหวัดกาญจนบุรี ได้สืบสานแนวพระราชดาริ โดยจัดโครงการนี้ขึ้น เพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ในด้านต่าง ๆ ของคนในชุมชน และได้ร่วมมือร่วมใจกันดำเนินงาน อย่างเข้มแข็ง จนโครงการพัฒนาก้าวหน้ามาโดยลำดับ. หวังว่าทุกท่านจะร่วมมือร่วมงานกัน ให้พร้อมเพรียงเหนียวแน่นยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อพัฒนาชุมชนให้เจริญก้าวหน้าไป อย่างสอดคล้อง สมดุลกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ อันจะทำให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างมีความสุข และประเทศชาติของเรามีความเจริญมั่นคงอย่างยั่งยืน
เวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ในฐานะองค์ประธานกรรมการ ทรงประชุมคณะกรรมการตามระเบียบวาระการประชุมที่กำหนดไว้ ดังนี้ การตั้งคณะทำงานบริหารโครงการ คณะกรรมการชุมชน และคณะทำงานระดับจังหวัด จากนั้น คณะกรรมการแต่ละฝ่ายกราบทูลผลการดำเนินงาน ซึ่งในเบื้องต้นได้มีการนำเสนอว่า ภายหลังการแต่งตั้งคณะกรรมการชุมชนแล้ว คณะกรรมการได้มีการลงพื้นที่สำรวจข้อมูลจริง 3 ครั้ง
รวมทั้งมีการนำคณะกรรมการชุมชน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปศึกษาดูงานพื้นที่ทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในจังหวัดตาก และจังหวัดเชียงใหม่ จากนั้น ได้มีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการในพื้นที่ และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง จึงได้ข้อสรุปในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านสาธารณสุข ที่ได้มีการอบรมประชาชนให้เป็นอาสาสมัครสาธารณสุข มีการสร้างโรงเรือนอนามัยใน 2 ชุมชน
ด้านเส้นทางการคมนาคม ที่มีการแก้ปัญหาน้ำหลากบนเส้นทางสัญจรด้วยการสร้างรางระบายน้ำ ปรับผิวทางสัญจร และสร้างทางข้ามบริเวณเส้นทางตัดทางน้ำ ด้านสาธารณูปโภคที่ปรับปรุงระบบโซล่าเซลล์ และจัดทำระบบ Hydropower เนื่องด้วยใน 2 ชุมชน มีปริมาณน้ำมาก จึงนำน้ำมาใช้เป็นไฟฟ้าพลังงานน้ำได้เป็นอย่างดี ด้านอาชีพและเกษตรกรรม และด้านการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เน้นเรื่องป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง และการเกษตรทฤษฎีใหม่
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเน้นย้ำว่า ทรงน้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในการสร้างความเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา มาเป็นแนวทางการทรงงานในโครงการ ฯ รวมทั้งพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ในเรื่องการสืบสาน รักษา ต่อยอด ในการดำเนินโครงการ ฯ ซึ่งมีการประสานความร่วมมือร่วมใจของส่วนราชการ กรรมการชุมชน และประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งให้ความสำคัญต่อกฎหมาย เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่มรดกโลก อีกทั้งยังทรงเน้นย้ำถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน และการสืบสานและอนุรักษ์วัฒนธรรมของชุมชนให้คงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป