ดอยคำ เพิ่มรายได้เกษตรกร เสิร์ฟ ‘สตรอเบอรี่ พรีเมียม’ ไม่เป็นรอง ‘ญี่ปุ่น-เกาหลี’
ก่อตั้งตามแนวพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ให้ช่วยเหลือราษฎรบนพื้นที่สูงทางภาคเหนือของไทย ในการส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรม รับซื้อผลผลิตในราคาที่เป็นธรรม พัฒนาคุณภาพและแปรรูปผลผลิต ภายใต้การดำเนินงานของโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 1 (ฝาง) จังหวัดเชียงใหม่
ภายหลังพัฒนาขึ้นเป็นแบรนด์ “ดอยคำ” และสานต่อแนวพระราชดำริ ตั้งโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 2 (แม่จัน) จังหวัดเชียงราย และโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 3 (เต่างอย) จังหวัดสกลนคร ที่ผ่านมาไม่เพียงทำให้ราษฎรบนพื้นที่สูงลืมตาอ้าปากได้ ยังทำให้คนไทยทั่วประเทศได้ดื่มกินผลไม้อบแห้ง แยมผลไม้ น้ำผลไม้บรรจุกล่อง มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ในราคาที่เป็นมิตร
ล่าสุดดอยคำยังได้พัฒนาและส่งเสริมการปลูกผลไม้สด “สตรอเบอรี่ พรีเมียม” ที่คุณภาพไม่เป็นรอง “ญี่ปุ่น” และ “เกาหลี” เลย
พิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด เล่าว่า ที่ผ่านมา ดอยคำส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกสตรอเบอรี่พันธุ์พระราชทาน 80 แล้วส่งมาให้เราแปรรูป เวลาผ่านมาเห็นว่าเกษตรกรได้พัฒนาผลผลิตจนทำให้มีผลสตรอเบอรี่ที่มีคุณภาพ ทั้งขนาดและรสชาติ จึงเห็นช่องทางที่จะเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร คือการจำหน่ายสตรอเบอรี่สด ที่เรียกว่า “สตรอเบอรี่ พรีเมียม” บรรจุลงกล่องขายช่วงต้นฤดูในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ของทุกปี
“สตรอเบอรี่ที่นำเข้าจากต่างประเทศมีราคาสูงเกินความเป็นจริง ในขณะที่คุณภาพไม่แตกต่างกับของที่เราผลิตได้เองในประเทศ ทั้งรสชาติ กลิ่นและสี รวมถึงขนาดของผล มีความพรีเมียม เพราะเราเก็บที่ความสุก 90 เปอร์เซ็นต์ แน่นอนเป็นช่วงที่รสชาติ กลิ่น สี ดีที่สุด เป็นช่วงเวลาคุณภาพที่ต้องรับประทานให้หมดภายใน 3 วัน” นายพิพัฒพงศ์กล่าว
ในฤดูเก็บเกี่ยวผลสตรอเบอรี่นี้ ดอยคำคัดพิเศษทยอยวางขายใน 4 เกรดคือ 1.ไซซ์ AA ขนาด 16 ผล (น้ำหนัก 480 กรัม) กล่องละ 550 บาท 2.ไซซ์ A ขนาด 20 ผล (น้ำหนัก 450 กรัม) กล่องละ 370 บาท 3.ไซซ์ B ขนาด 24 ผล (น้ำหนัก 380 กรัม) กล่องละ 270 บาท และ 4.ขนาดมาตรฐานดอยคำ (น้ำหนัก 250 กรัม) กล่องละ 120 บาท ทั้งนี้ ด้วยเป็นผลไม้สดพรีเมียมที่จัดส่งเฉพาะร้านดอยคำบางสาขา ผู้สนใจสามารถเช็กเพื่อซื้อสตรอเบอรี่ พรีเมียม ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก www.facebook.com/DoikhamFP
ถือเป็นทางเลือกใหม่ของเกษตรกรที่ ธนกฤต จันทรสมบัติ เจ้าหน้าที่ส่งเสริมและพัฒนาเกษตร โรงงานหลวงอาหารสําเร็จรูปที่ 1 (ฝาง) จ.เชียงใหม่ การันตีว่า “ปลูกน้อย แต่ได้มาก”
ธนกฤตเล่าว่า การปลูกสตรอเบอรี่ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่นำไปแปรรูปขายได้เพียงกิโลกรัมละ 45 บาท แต่หากนำมาขายแบบพรีเมียมที่มีเงื่อนไข อาทิ ขนาดใหญ่ ผิวไม่มีตำหนิ ไม่มีสารเคมีตกค้าง จะได้กิโลกรัมละตั้งแต่ 300 400 และ 500 บาท (ราคารับซื้อสตรอเบอรี่ พรีเมียม แบ่งตามเกรด) ซึ่งมีเพียงร้อยละ 3-5 ต่อการนำมาขายรอบหนึ่งเท่านั้น ที่เหลือถูกนำไปแปรรูป เช่น ทำแยม น้ำผลไม้บรรจุกล่องยูเอชที และอบแห้ง
ด้วยความนิยมอย่างสูงของผู้บริโภค จึงมีความพยายามในการเพิ่มปริมาณผลสตรอเบอรี่ พรีเมียม และต้องให้ออกผลผลิตนอกฤดูกาล หนึ่งในแนวทางที่จะทำได้คือ การปลูกแบบโรงเรือน ที่สามารถคุมสภาพอากาศ ทั้งอุณหภูมิ ความชื้น การให้น้ำ ให้ปุ๋ยอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถคุมโรคและแมลงที่เป็นศัตรูพืชได้ ทำให้ได้ผลสตรอเบอรี่มีคุณภาพ เพิ่มสัดส่วนการได้สตรอเบอรี่ พรีเมียมมากขึ้น
ศิรินภา ไชยพล ผู้จัดการแผนกนวัตกรรมเกษตร (Lab) โรงงานหลวงอาหารสําเร็จรูปที่ 1 (ฝาง) จ.เชียงใหม่ เล่าว่า เป็นความร่วมมือที่ดอยคำได้รับการสนับสนุนจัดสร้างโรงเรือนจากภาครัฐและเอกชน อาทิ จังหวัดเชียงใหม่, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการสนับสนุนทางวิชาการ อาทิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ปัจจุบันมีโรงเรือนที่ปลูกสร้างแล้ว 14 โรง จากต้องสร้างทั้งหมด 40 โรง เปิดใช้งานแล้ว 9 โรง แบ่งเป็นโรงเรือนที่ดอยคำเอาไว้วิจัยทดลองปลูก 3 โรง และให้เกษตรกรมาทดลองปลูก 6 โรง โดยแต่ละโรงเรือนสามารถปลูกสตรอเบอรี่ได้ 2,200 ต้น ทั้งนี้ เราเพิ่งเริ่มปลูกในฤดูกาลนี้ ค้นพบเบื้องต้นว่าการปลูกสตรอเบอรี่แบบโรงเรือนได้รสชาติที่หวานกว่าการปลูกแบบลงแปลง
“นี่จะเป็นก้าวสำคัญก้าวแรกที่คนไทยจะได้กินสตรอเบอรี่คุณภาพนอกฤดูกาลในอนาคต หรือมีให้กินตลอดทั้งปี ซึ่งดอยคำจะศึกษาและสรุปต่อไปว่าการลงทุนปลูกแบบโรงเรือนนี้คุ้มค่าแก่การลงทุนหรือไม่ เพื่อขยายผลไปยังเกษตรกรต่อไป” ศิรินภากล่าว
ถือเป็นโอกาสของเกษตรกรที่จะสร้างมูลค่าเพิ่ม และเพิ่มรายได้ให้ตัวเองและครอบครัว อย่าง นาลอ กรองแก้วพนา เจ้าของไร่สตรอเบอรี่ ในตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ที่วันนี้ลืมตาอ้าปากได้อย่างภาคภูมิ ทั้งยังเปิดแปลงสตรอเบอรี่ให้คนได้เข้ามาศึกษาดูงาน
นาลอเล่าว่า แต่ก่อนทำสวนลิ้นจี่อย่างเดียวมาตลอด แต่ราคาผลผลิตตกต่ำ ยิ่งช่วงหลังต้นพันธุ์ออกผลผลิตลดลงด้วย ยิ่งทำให้รายได้ไม่พอ ต้องเข้าเมืองไปหางานรับจ้างทำ แต่หลังจากได้มาเรียนรู้การปลูกสตรอเบอรี่กับดอยคำ เขาสอนทุกอย่าง เป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษา ในการปลูก 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีรายได้มากขึ้น จากปีแรกได้ 3 หมื่นบาท ปีล่าสุดได้ 8 หมื่นบาท ออกผลให้เก็บเกี่ยวสลับกับลิ้นจี่ ก็ยิ่งทำให้มีรายได้ตลอดทั้งปี
นาลอก็เป็นหนึ่งในเกษตรกรส่งผลสตรอเบอรี่ พรีเมียมขายที่ดอยคำ เธอยืนยันว่าสตรอเบอรี่ของเธอ “ปลอดภัยแน่นอน เพราะไม่ใช้สารเคมีในการปลูก” ตามข้อกำชับดอยคำที่มีมาตรการสุ่มตรวจเข้มข้น เช่นเดียวกับ มนูญ ภูแสนธนา เจ้าของไร่สตรอเบอรีข้างกัน เกษตรกรดีกรีปริญญาตรี สาขานิติศาสตร์ จากสถาบันราชภัฏเชียงใหม่ ลาชีวิตเมืองขอกลับมาพัฒนาและทำงานที่บ้านเกิด วันนี้เริ่มยิ้มออก
มนูญเล่าว่า ตอนแรกที่ทราบว่าดอยคำจะเข้ามาส่งเสริมการเพาะปลูกสตรอเบอรี่ ผมและเพื่อนๆ ดีใจมาก เพราะไม่เคยมีใครเข้ามาให้การส่งเสริม หรือสนใจพวกเรา เพราะพวกผมเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษา แต่พวกผมก็ความตั้งใจเมื่อทำอะไร อย่างที่ทำกับดอยคำก็ตั้งใจและอยากให้เป็นความยั่งยืน บางครั้งผลผลิตอาจน้อยลง ไม่ได้มาตรฐานดอยคำ เพราะสภาพดินฟ้าอากาศ แต่เราก็จะไม่ย่อท้อ เจ้าหน้าที่ส่งเสริมเกษตรหมั่นคอยดูแลพวกเราตลอด ถามสารทุกข์สุกดิบ ไม่เคยเอาเปรียบเกษตรกรเลย จากวันแรกที่กลุ่มผมมีกัน 9 คน วันนี้บ้านหนองเต่า เรามีเกษตรกรผู้เพาะปลูกหลายสิบคนแล้ว เราต่างภูมิใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มาก อย่างผมที่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ผมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้วครับ
“พวกเรารับทราบและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงรัชกาลที่ 9 และในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงเมตตาและห่วงใยราษฎรบนพื้นที่สูง จนเป็นที่มาของการมีโรงงานหลวงและดอยคำ และมีการสืบสาน รักษา ต่อยอด เหล่านี้ได้ให้โอกาสกับพวกเราจริงๆ ทำให้พวกเรามีความหวัง เมื่อลงมือทำก็มีรายได้ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นจริงๆ ณ บ้านเกิด ก็ไม่รู้ว่าจะหาคำอะไรมาอธิบาย นอกจากคำว่า “ทรงพระเจริญ” มนูญกล่าวด้วยสายตาเปล่งประกายพร้อมพนมมือทั้ง 2 ข้าง