เดินหน้าชน : เอาตัวรอดไปวันๆ : โดย เสกสรรค์ กิตติทวีสิน

หน้ากากอนามัยเป็นอุปกรณ์ใช้ป้องกันไวรัสโควิด-19 ไม่น่าเชื่อว่า เหตุการณ์อีนุงตุงนังที่ผ่านมานับเดือน ผ่านมาจนถึงสถานการณ์ของประเทศไทยที่มีตัวเลขคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็วตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แต่หน้ากากอนามัยที่ทำจากกระดาษมีชั้นกรองใช้แล้วทิ้ง ก็ยังหาซื้อกันไม่ได้ง่ายๆ

ที่มีขายในตลาดเวลานี้ล้วนแต่ไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกลับขายกันในราคาแพง ประชาชนก็ต้องก้มหน้าซื้อไปใช้ เพราะที่ทำงานหลายแห่งรวมทั้งการขึ้นยานพาหนะบริการขนส่งมวลชนบางประเภทก็บังคับให้สวมใส่หน้ากากแล้ว ถึงไม่บังคับก็ต้องสวมใส่ป้องกันอยู่ดี และยังเชื่อ ณ เวลานี้ว่า ของจำนวนมากที่ใช้ป้องกันได้ยังถูกกักตุนอยู่ในมือพ่อค้าส่วนหนึ่งที่ขายกันราคาแพงๆ เมื่อรับมาแพงก็ต้องขายกันแพงเป็นทอดๆ ออกไป เห็นมีข่าวจับกันได้รายวัน

ส่วนที่กรมการค้านำมาปล่อยขายในราคาถูกแพคละ 10 บาท มี 4 ชิ้น ก็ขายกันแบบจำกัดจำเขี่ยในแต่ละจุด ทุกวันนี้ หน้ากากอนามัยที่ราคาปกติ หาซื้อได้ยาก หลายคนจึงใช้แล้วยังไม่ทิ้ง ทนใส่กันหลายวัน อย่างน้อยก็ต้องใช้ตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ วันหยุดก็อยู่บ้านไม่ต้องไปไหน

ขณะที่มีความพยายามทดแทนด้วยการผลิตเป็นหน้ากากที่ทำจากผ้าขึ้นมาแทน ส่วนใหญ่ใส่แค่วันเดียวก็ต้องเปลี่ยนแล้ว เอาไปซักแล้วเอามาใช้ใหม่

Advertisement

หลายคนเริ่มสงสัยและตั้งคำถามกันว่าหากประเทศไทยเข้าสู่ระยะ 3 ของการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 จะเป็นอย่างไร

ถึงวันนั้นหน้ากากอนามัยแพคละ 10 บาท ที่ใช้ป้องกันได้จริงๆ จะมีจำหน่ายและซื้อกันง่ายมากกว่านี้หรือไม่ ยิ่งข่าวล่าสุดเมื่อ 19 มีนาคมที่ผ่านมา อ่านแล้วก็ปวดใจ เพราะไม่ได้รู้สึกว่าหน้ากากอนามัยอยู่ใกล้ตัวเลย

ข่าวในสื่อหลักรายงานผ่านออนไลน์บอกว่า “กระทรวงพาณิชย์แจ้งว่าขณะนี้ ปริมาณการผลิตหน้ากากอนามัยได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากโรงงานผลิตที่มีอยู่ได้ให้ความร่วมมือปรับสายการผลิตหน้ากากชนิดอื่น มาเป็นการผลิตหน้ากากอนามัยเพียงอย่างเดียว โดยเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2563 การผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1.9 ล้านชิ้น จากสัปดาห์ก่อนที่ผลิตได้วันละ 1.71 ล้านชิ้น และล่าสุดวันที่ 19 มีนาคม 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 2.2 ล้านชิ้นแล้ว ทำให้ศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย ที่เป็นการบริหารงานร่วมกันระหว่างกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุข สามารถเพิ่มสัดส่วนการกระจายไปยังผู้ที่จำเป็นต้องใช้และประชาชนได้มากขึ้น”

ในรายละเอียดแจกแจงด้วยว่า กระทรวงพาณิชย์จัดสรรหน้ากากอนามัยให้กระทรวงสาธารณสุขเพิ่มเป็นวันละ 1.3 ล้านชิ้น กระจายต่อไปยังโรงพยาบาลในสังกัดและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งโรงพยาบาลอื่นๆ สถานพยาบาลเอกชน และสังกัด กทม. เป็นต้น ที่เหลืออีก 9 แสนชิ้น กรมการค้าภายในจะกระจายให้กับกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่ถูกกักตัว 14 วัน ที่อยู่ในจังหวัดต่างๆ ผู้ทำงานในกลุ่มแพทย์ฉุกเฉิน เช่น มูลนิธิต่างๆ รวมถึงกลุ่มเสี่ยงเดิม เช่น ผู้ให้บริการในสนามบิน ตรวจคนเข้าเมือง ส่วนประชาชนทั่วไป ได้กระจายผ่านร้านธงฟ้า เซเว่นอีเลฟเว่น เทสโก้โลตัส แม็คโคร บิ๊กซี วิลล่ามาร์เก็ต ท็อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอินทนิล และล่าสุดกำลังจะกระจายผ่านร้านคาเฟ่ อเมซอน

ข่าวยังบอกว่า ได้ขอความร่วมมือห้างและร้านสะดวกซื้อให้เปิดขายตอนกลางวัน และให้แสดงบัตรประจำตัวประชาชน ป้องกันการเวียนซื้อ เช่น แม็คโคร จำหน่ายวันละ 2 รอบ ส่วนที่ยังดูว่าสินค้ามีน้อยและหมดเร็ว เพราะห้างและร้านสะดวกซื้อต้องกระจายสินค้าไปยังสาขาต่างๆ หากมีสาขามาก ปริมาณสินค้าที่ส่งไปก็น้อยลงตามไปด้วย เพราะสินค้ามีจำกัด ต้องขอความร่วมมือให้ประชาชนหันมาใช้หน้ากากผ้าให้มากขึ้น

เท่ากับว่าสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเร่งการผลิตออกมาแค่ไหน ประชาชนส่วนใหญ่ยังยากที่จะเข้าถึง แล้วก็จบข่าวด้วยการบอกว่าให้ไปใช้หน้ากากผ้าให้มากขึ้น ดังนั้น ต้องบอกกลับไปยังกระทรวงพาณิชย์ว่า ณ เวลานี้ ประชาชนต่างก็ต้องดิ้นรนกันเอาตัวรอดอยู่แล้ว ไม่มีใครยอมให้ปอดเน่าเพราะโควิด-19 แน่ และไม่ต้องไปบอกหรอกว่าให้ใช้หน้ากากผ้าแทน

เสกสรรค์ กิตติทวีสิน

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image