‘5G’ ลุยสู้ ‘โควิด-19’ ช่วยสกัดระบาด

‘5G’ ลุยสู้ ‘โควิด-19’ ช่วยสกัดระบาด

การประมูลคลื่นความถี่เพื่อรองรับ “5G” ของไทยที่ผ่านพ้นไปหนึ่งเดือนเต็ม คลื่นความถี่ย่าน 2600 เมกะเฮิรตซ์ ถือเป็นหัวใจสำคัญ เนื่องจากคลื่นความถี่ที่ทั่วโลกนิยมใช้เพื่อรองรับ 5G ได้แก่ คลื่นความถี่ย่าน 2600 เมกะเฮิรตซ์ และคลื่นความถี่ย่าน 3500 เมกะเฮิรตซ์

โดยคลื่นความถี่ย่าน 2600 เมกะเฮิรตซ์ ปัจจุบัน “ไชน่าโมบายล์” ของจีน ซึ่งมีฐานลูกค้ามากที่สุดในโลกราว 925 ล้านราย เปิดให้บริการ 5G บนคลื่นความถี่ดังกล่าว และมีการผลิตอุปกรณ์ขึ้นมารองรับ

ขณะที่คลื่นความถี่ย่าน 3500 เมกะเฮิรตซ์ เป็นคลื่นความถี่หลักในการรองรับ 5G ในภูมิภาคยุโรป ซึ่งปัจจุบันไทยใช้ในกิจการดาวเทียมโดยจะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในเดือนกันยายน 2564

ทำให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) 2 รายที่ชนะการประมูล ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (เอดับบลิวเอ็น) ในเครือบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส จำนวน 10 ใบอนุญาตใบอนุญาตละ 10 เมกะเฮิรตซ์ รวม 100 เมกะเฮิรตซ์ มูลค่า 20,930,270,000 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

Advertisement

ส่วนบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (ทียูซี) ในเครือบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 9 ใบอนุญาต รวม 90 เมกะเฮิรตซ์ มูลค่า 19,123,991,110 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เข้าคิวเพื่อชำระค่าใบอนุญาตงวดแรกซึ่งคิดเป็น 10% ของราคาค่าใบอนุญาต

โดย “เอไอเอส” ถือฤกษ์งามยามดี วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 เข้าชำระค่าใบอนุญาต จำนวน 2,093,027,000 บาท และเข้ารับใบอนุญาตพร้อมกดปุ่มสวิตช์ออนคลื่นความถี่เพื่อเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ในวันเดียวกัน ขณะที่ “ทรู” เข้าชำระค่าใบอนุญาต จำนวน 1,912,399,111 บาท พร้อมเข้ารับใบอนุญาต เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2563 และเปิดให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ ในวันถัดมา

แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ลุกลามไปใน 118 ประเทศทั่วโลก และคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 14,654 ราย จากจำนวนผู้ติดเชื้อรวม 337,556 ราย ขณะที่รักษาหายแล้วรวม 98,884 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 23 มีนาคม 2563)

Advertisement

สำหรับประเทศไทย “เอไอเอส” และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ เพื่อช่วยควบคุมสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 โดยใช้ 5G ปรับปรุงความสามารถของหุ่นยนต์ทางการแพทย์ เพื่อทำหน้าที่ตรวจวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยที่สงสัยว่าอาจติดเชื้อ และช่วยเหลือแพทย์และพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อหรือสงสัยว่าอาจติดเชื้อ

ขณะที่ “ทรู” พัฒนาแพลตฟอร์มช่วยให้ทำงานจากบ้าน เทคโนโลยีคลาวด์ ในชื่อ “ทรู เวอร์ชอล เวิลด์” เปิดใช้งานตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย องค์กรธุรกิจ สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ และประชาชนทั่วไปสามารถใช้งานได้ ด้วยการเข้าเว็บไซต์ www.truecorp.co.th แล้วทำตามขั้นตอนที่แนะนำ

ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) ระบุว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่ได้ทำให้กระแส 5G ลดน้อยถอยลง โดยขณะนี้ ได้เร่งรัดให้โอเปอเรเตอร์ติดตั้งสถานีฐานในพื้นที่โรงพยาบาล เพื่อทำการรักษาทางไกลด้วยระบบ 4G และ 5G ใน 4 โรค ได้แก่ เบาหวาน ความดัน โรคตา และผิวหนัง ให้ประชาชนสามารถรับการวินิจฉัยโรคและขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งช่วยให้ประหยัดทั้งเวลาและค่าเดินทาง ลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการทางการแพทย์

“สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังยืดเยื้อ ทำให้หลายคนที่มีอาการป่วยด้วยโรคต่างๆ ไม่กล้าเดินทางไปโรงพยาบาล ฉะนั้น การเริ่มต้นรักษาทางไกล ใน 4 โรคดังกล่าว จะช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล อีกทั้งช่วยป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งในอนาคตเชื่อว่า เทคโนโลยีจะพัฒนาการรักษาทางไกลขยายวงกว้างไปยังโรคอื่นๆ เพิ่มเติม” ฐากรระบุ

ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยโดยรวมในช่วง 3-4 เดือนนี้จะทรุดต่อเนื่อง แต่ขณะที่รายงานของแอพพลิเคชั่นพฤติมาตรของสำนักงาน กสทช. พบว่า ระหว่างเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2563 ประชาชนมีการใช้งาน 4 แอพพลิเคชั่น ได้แก่ เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์, ไลน์ และยูทูบ เพิ่มสูงขึ้น

โดยเฉพาะทวิตเตอร์ที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 266.43% ถัดมาคือ ไลน์ เพิ่มขึ้น 154.26%

ขณะที่การสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ผ่าน 3 แอพพลิเคชั่น ได้แก่ ลาซาด้า ช้อปปี้ และแกร็บ เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยช้อปปี้มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 478.59% รองลงมาคือ ลาซาด้า ซึ่งเพิ่มขึ้น 121.52%

เมื่อเทียบข้อมูลระหว่างสัปดาห์แรกและสัปดาห์ที่สองของเดือนมีนาคม 2563 พบว่า ประชาชนมีการใช้งานแอพพลิเคชั่น “ไลน์” เพิ่มขึ้น 24.67% จาก 24.60% เป็น 30.67% ถัดมาคือ ยูทูบ ที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 4.09% จาก 374.28% เป็น 389.58%

ขณะที่ทวิตเตอร์มีการใช้งานลดลง 18.83% จาก 10.86% เป็น 8.82% และเฟซบุ๊กมีการใช้งานลดลงเช่นกัน อยู่ที่ 9.12% จาก 377.46% เป็น 343.02%

ส่วนการสั่งซื้อสินค้าผ่านแอพพลิเคชั่นช้อปปี้เพิ่มขึ้น 14.13% จาก 5.82% เป็น 6.65% ถัดมาคือ ลาซาด้า เพิ่มขึ้น 1.40% จาก 2.28% เป็น 2.32% ขณะที่แกร็บลดลง 15.68% จาก 1.30% เป็น 1.09%

“ขอให้โอเปอเรเตอร์เร่งเปิดให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศโดยเร็ว เพราะด้วยศักยภาพของ 5G ที่ให้ความเร็วสูงในระดับกิกะบิตต่อวินาที จะช่วยตอบสนองความต้องการใช้งานเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะนี้มีการขยายตัวดีขึ้นในบางเซ็กเตอร์ เพื่อชดเชยบางเซ็กเตอร์ที่ชะลอตัวลง” ฐากรระบุ

ขณะที่การประชุม กสทช.วาระพิเศษ เมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือประชาชนและผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยการลดค่าใช้จ่ายด้านโทรคมนาคม และส่งเสริมการทำงานจากที่บ้าน หรือเวิร์กฟรอมโฮม รวมทั้งสนับสนุนการทำงานผ่านอินเตอร์เน็ตเพื่อเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อไป ดังนี้

1.สนับสนุนให้ประชาชนสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์เคลื่อนที่ (โมบาย บรอดแบนด์) เพิ่ม 10 กิกะไบต์ ต่อคน ต่อเดือน ให้แก่ผู้ใช้งานในปัจจุบัน โดยผู้ใช้บริการ 1 คนจะได้รับการสนับสนุน 1 เลขหมาย ต่อ 1 ผู้ให้บริการ โดยจะสนับสนุนเป็นระยะเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่ ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการดังกล่าว จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดยใช้ฐานลูกค้าที่มีผู้ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ณ วันที่ครม.มีมติเท่านั้น

ทั้งนี้ ให้หักจากเงินที่ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องชำระค่า ประมูลคลื่นความถี่ตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขใบอนุญาตที่ กสทช. กำหนด จนกว่าจะครบจำนวน และให้ กสทช. นำเงินส่วนที่เหลือส่งเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป โดยประชาชนจะสามารถรับสิทธิได้ด้วยการลงทะเบียนผ่านระบบ USSD ของผู้ให้บริการแต่ละค่ายที่ใช้งานอยู่

2.สนับสนุนการจัดให้มีบริการอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ประจำที่ (ฟิกส์ บรอดแบนด์) ให้แก่ผู้ใช้งานในปัจจุบัน โดยปรับเพิ่มขนาดความจุ (คาปาซิตี้) เท่าที่ผู้ให้บริการจะสามารถดำเนินการได้ กล่าวคือ กรณีบริการ ADSL/VDSL/Copper ให้ปรับเพิ่มความเร็วสูงสุดที่สามารถทำได้ และกรณีบริการการรับ-ส่ง ข้อมูล ไฟเบอร์ทูดิเอ็ก ให้ได้ระดับความเร็ว (ดาวน์โหลด) 100 เมกะไบต์ โดยหักเป็นค่าใช้จ่ายจากเงินที่ต้องนำส่งกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.)

ด้วยประสิทธิภาพของเทคโนโลยี โดยเฉพาะ “5G” และความสามัคคี ร่วมไม้ร่วมมือของทุกภาคส่วน จะช่วยกันสกัดกั้น และหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ในเร็ววัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image