‘กสิกรไทย’ คาดจีดีพีปี 63 ติดลบ 5% พร้อมเปลี่ยน 2 หัวเรือใหญ่ เดินหน้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจ-ดิสรัปชั่น

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในปี 2562 ภาพเศรษฐกิจโดยรวมของโลก มีสัญญาญชะลอการเติบโตลง โดยมีปัจจัยกระทบหลักเป็นเรื่องเทคโนโลยีดิสรัปชั่น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว และสะเทือนไปทั่วทุกธุรกิจ รวมถึงธุรกิจธนาคารด้วย ทำให้ต้องมีการปรับตัวอย่างเข้มข้น โดยในส่วนของธนาคารนั้น จะต้องหาวิธีทำให้ธนาคารยังคงมีความหมายอยู่ และทำให้ผู้บริโภคซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคาร สามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพได้ รวมถึงต้องช่วยให้ลูกค้าสามารถต่อยอดธุรกิจและเดินหน้าต่อไปด้วยตัวเองได้ โดยเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ เผชิญความยากลำบากอย่างยิ่ง จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีผลกระทบต่อคนในทุกชนชั้น เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงมีเพิ่มขึ้น และรัฐบาลก็ประกาศใช้มาตรการเคอร์ฟิว ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน ทำให้คาดการณ์ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในขณะนี้กำลังจะเข้าสู่ภาวะทดถอย โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ไทยในปี 2563 ติดลบที่ 5% หากสามารถควบคุมโควิด-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ภายในไตรมาส 2/2563 หรือประมาณเดือนมิถุนาคมนี้

ยังมีข่าวดีอยู่บ้างคือ เครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ยังมีอยู่ ซึ่งเป็นตัวสำคัญคือการลงทุนของภาครัฐ ที่น่าจะทำให้โตได้ 3.3% แต่รัฐบาลจะต้องเร่งรัดโครงการที่ค้างคาหรือโครงการใหม่ให้ดำเนินการอย่างรวดเร็วที่สุดส่วนการลงทุนของภาคเอกชนที่บอบช้ำมากพอสมควรน่าจะติดลบ 5% โดยโควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงกับภาคการท่องเที่ยว การส่งออก และการบริโภค รวมถึงการลงทุนอย่างมีนัยยะสำคัญ ทำให้สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือ เราต้องช่วยกันฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปให้ได้ สิ่งแรกที่ต้องมีคือความเชื่อมั่น ต้องเชื่อมั่นในประเทศไทย เชื่อมั่นในรัฐบาล เชื่อมั่นในสาธารณสุขไทย โดยทุกคนจะต้องมีการร่วมรับผิดชอบและปฎิบัติตนอย่างเคร่งครัดในข้อกำหนดที่รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมา เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายได้เร็วที่สุดนางกอบกาญจน์กล่าว

นางกอบกาญจน์กล่าวว่า ธนาคารจะเร่งรัดในการช่วยเหลือลูกค้าที่ในหลากหลายรูปแบบ พร้อมทั้งมีมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจในส่วนของภาครัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดทอนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยธนาคารเป็นเครื่องจักรสำคัญในการพลิกฟื้นระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย ในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจไทยอ่อนแอลง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ปัญหาคุณภาพสินเชื่อจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับธุรกิจธนาคาร โดยอาจต้องติดตามสถานการณ์ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้กลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ รวมถึงสินเชื่อส่วนบุคคล ตลอดจนสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ทั้งที่พึ่งพิงตลาดและกำลังซื้อในประเทศ และที่พึ่งพิงตลาดส่งออก ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยคาดว่ามาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจของภาครัฐ จะมีส่วนสำคัญในการลดทอนผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงการผ่อนคลายเกณฑ์การปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะช่วยลดภาระการกันสำรองของสถาบันการเงิน ภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้

นางกอบกาญจน์กล่าวว่า นอกจากการฝ่าวิกฤติไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้แล้ว ธนาคารกสิกรไทยจะยังคงบทบาทการเป็นสถาบันการเงินชั้นนำ ที่จะเป็นตัวจักรสำคัญในการพลิกฟื้นระบบเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ และพร้อมเสมอที่จะรับมือกับความท้าทายรูปแบบใหม่อื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต ด้วยบทบาทและหน้าที่ของประธานกรรมการ ในการกำหนดนโยบายและกำกับดูแล ได้ประเมินฝ่ายบริหารและศักยภาพพื้นฐานของธนาคารแล้ว ก็มั่นใจว่า ยังดำรงความแข็งแกร่งเป็นที่น่าพอใจ และเชื่อมั่นว่าฝ่ายจัดการจะสามารถบริหารธนาคารให้ก้าวผ่านโจทย์ธุรกิจในช่วงแพร่ระบาดของโควิด-19 ควบคู่กับการสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจเพื่อรับมือดิสรัปชั่นและความท้าทายอื่นที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างดี

Advertisement

ด้านนางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า การขับเคลื่อนธนาคารต่อจากนี้นับเป็นความท้าทายอย่างมาก แต่เชื่อมั่นว่าธนาคารจะสามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง เพราะคณะผู้บริหารของธนาคารมีการกำหนดแผนยุทธศาสตร์และทิศทางธุรกิจสอดคล้องกันมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว โดยการดำเนินธุรกิจของธนาคารกสิกรไทยต่อจากนี้ การจัดการที่จะเร่งทำให้มากขึ้นในภาวะเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ได้แก่ การส่งมอบบริการทางการเงินไปถึงลูกค้ารายรายเล็กให้ได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น โดยยังคงหลักระมัดระวังและการบริหารความเสี่ยงที่ดี ซึ่งเป็นโจทย์ที่ควรเร่งทำเป็นอันดับต้นเพราะจะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เป็นโจทย์ของธนาคารทั้งในฐานะคนทำธุรกิจและพลเมืองของประเทศ การจัดการด้านต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงการจัดการด้านทรัพยากรบุคคล ที่ต้องมีการยกระดับทักษะความสามารถพนักงาน ให้พร้อมรับมือกับภาวะการเปลี่ยนแปลงและเทคโนโลยีใหม่ๆ

นางสาวขัตติยากล่าวว่า โลกในทุกวันนี้เปลี่ยนไป ทั้งบทบาทของเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและการแข่งขันในธุรกิจอย่างมาก รวมกับวิกฤติเศรษฐกิจที่เข้ามากระทบ ปัจจัยที่จะมาสั่นคลอนและท้าทายชีวิตของลูกค้ามีมากขึ้น ทั้งเชิงธุรกิจและชีวิตส่วนตัว แต่ธนาคารกสิกรไทยจะอยู่กับลูกค้าทุกที่และทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าอยู่กับเราแล้วปลอดภัย โดยจะช่วยเพิ่มอำนาจให้กับการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจของลูกค้า ทั้งการสนับสนุนแหล่งเงินทุน บริการทางการเงิน การให้ข้อมูล และโอกาสในการพบผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะกับธุรกิจ เพื่อให้ลูกค้าก้าวนำการเปลี่ยนแปลงเป็นผู้นำในการทำธุรกิจ และได้ใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการ โดยเหตุการณ์ต่างๆ ในภายภาคหน้าอาจมีการเปลี่ยนแปลงที่เหนือการคาดการณ์ได้มากมาย จึงอาจยังไม่รู้ชัดว่าธุรกิจธนาคารจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปลักษณ์ไหน แต่สิ่งที่รู้แน่ชัดคือ ต้องมีแนวคิดที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง มีความสามารถในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สำคัญที่สุดคือ มีความรับผิดชอบต่อสังคมและโลกใบนี้ ซึ่งธนาคารกสิกรไทยเป็นองค์กรที่ใหญ่แต่เร็ว คล่องตัวสูงเป็นฟันเฟืองหลักของระบบเศรษฐกิจของประเทศ

ธนาคารได้จับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะมีเป้าหมายสำคัญในการฝ่าวิกฤตโควิด-19 คือ พนักงานจะต้องปลอดภัย สามารถส่งมอบบริการได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกค้าให้ได้มากที่สุด และเตรียมความพร้อมเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศต่อไป โดยจากการระบาดของโควิด-19 และทิศทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างรุนแรง ธนาคารอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลผลกระทบต่างๆ ซึ่งจะมีการทบทวนแผนธุรกิจและเป้าหมายปี 2563 อย่างชัดเจน หลังจากเห็นผลประกอบการของไตรมาส 1/2563 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในลำดับถัดไปนางสาวขัตติยากล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image