‘กรุงไทย’ ชี้ 5G-โควิด พลิกโฉมอุตสาหกรรม ‘เฮลธ์แคร์’ ครั้งใหญ่

นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า กระแสเทคโนโลยี 5G มาแรงและหลายประเทศได้เริ่มใช้งานในเชิงพาณิชย์ไปแล้ว สำหรับประเทศไทย คาดว่าการใช้งาน 5G จะคึกคักใน 1-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และจังหวัดต้นแบบของเมืองอัจริยะ (สมาร์ทซิตี้) เนื่องจาก 5G จะทำให้เทคโนโลยีต่างๆ ทรงพลัง โดยเร็วกว่า 4G ได้ถึง 20 เท่า และรองรับอุปกรณ์ได้มากกว่าถึง 10 เท่า ที่สำคัญวิกฤต โควิด-19 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้ผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ เปิดรับและเรียนรู้เทคโนโลยีเร็วขึ้น ตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (โซเชียล ดิสแทนซิ่ง) เช่น การปฏิบัติงานทางไกล การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ เป็นต้น และไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ และการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

“5G จะก่อให้เกิดอุปกรณ์ใหม่ๆ จำนวนมหาศาลในชีวิตประจำวัน ที่เชื่อมต่อกันด้วยอินเตอร์เน็ต และจะปฏิวัติการดำเนินธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมสู่รูปแบบอัจฉริยะ ซึ่งในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการดูแลสุขภาพสู่มิติใหม่ๆ แก้ปัญหาข้อจำกัดด้านความเพียงพอและการกระจุกตัวของบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีแพทย์เพียง 6 คนต่อประชากร 10,000 คน ลดผลกระทบต่อคุณภาพและการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ นอกจากนั้น ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 8% จนอยู่ที่ 5.8 แสนล้านบาท หากมีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศลงได้ปีละ 7-11.5%” นายพชรพจน์ กล่าว

นายณัฐพร ศรีทอง ผู้ร่วมทำวิจัย กล่าวว่า 5G จะทำให้เกิดสมาร์ทเฮลธ์แคร์อย่างแท้จริง เนื่องจากผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์สามารถสื่อสารกันแบบเรียลไทม์ ข้อมูลต่างๆ จะถูกรวมศูนย์อย่างเป็นระบบ และทำให้ศูนย์กลางการดูแลสุขภาพถูกถ่ายโอนจากบุคลากรทางการแพทย์สู่ผู้ป่วยมากขึ้น ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับบริการดูแลสุขภาพในรูปแบบ 4P คือ สามารถคาดการณ์ปัญหาสุขภาพ ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ออกแบบให้เฉพาะเจาะจงแต่ละบุคคล รวมทั้งผู้ป่วยมีส่วนดูแลสุขภาพมากขึ้น ผ่านการตรวจตราและเฝ้าระวังสุขภาพผ่านโทรศัพท์มือถือ ด้วยแอปพลิเคชันและอุปกรณ์สวมใส่ต่างๆ ซึ่งงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่าตลาดเครื่องแต่งกาย จะเติบโตปีละ 28% ขณะที่ตลาดการปรึกษาด้านสุขภาพทางไกลจะเติบโตปีละ 18.9% และโดยรวมตลาดอินเตอร์เน็ตเพื่อสรรพสิ่งทางการแพทย์ (ไอโอเอ็มที) จะเติบโตปีละ 27.6%

“ภาครัฐและเอกชนไทยในระบบนิเวศของอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ ต้องเตรียมพร้อมและปรับตัว เช่น สร้างบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี วางระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีความปลอดภัยและปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม ร่วมลงทุนกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เพื่อยกระดับการให้บริการ นำเสนอบริการอุปกรณ์สุขภาพเคลื่อนที่ (โมบายเฮลธ์) บริการปรึกษาแพทย์ทางไกลผ่านแพลตฟอร์มโรงพยาบาล ซึ่งมีความน่าเชื่อถือ บวกกับเฮลท์เทคสตาร์ตอัพ ซึ่งมีจุดเด่นด้านนวัตกรรมและความคล่องตัวสูง ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีทางการแพทย์ ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์สวมใส่ รวมถึงผู้ให้บริการวางระบบโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูล ตลอดจนผสานกับหน่วยงานภาครัฐ ประกันสังคม บริษัทประกัน และธนาคารพาณิชย์ เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลและระบบการจ่ายค่ารักษาพยาบาล” นายณัฐพร กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image